IM สื่ออุตสาหกรรม เป็นสื่อสร้างสรรค์เพื่อส่งเสริมอุตสาหกรรม มุ่งเน้นนำเสนอข่าวสารด้านบวก ครอบคลุมทุกหมวดหมู่ธุรกิจ ด้วยเจตนารมณ์ที่ต้องการสร้างพื้นที่ให้กลุ่ม SMEs ได้มีที่ยืน ได้มีโอกาสได้ใช้ช่องทางเคียงคู่ไปกับผู้ประกอบการรายใหญ่ เพื่อให้อุตสาหกรรมไทยได้เติบโตไปพร้อมๆ กัน อย่างยั่งยืน
บริษัท สื่ออุตสาหกรรม จำกัด | 02 11 585 22 | [email protected]
วิชาญ จิตร์ภักดี
นายวิชาญ จิตร์ภักดี ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เอสซีจี แพคเกจจิ้ง จำกัด (มหาชน) หรือ SCGP เปิดเผยว่า ภาพรวมผลการดำเนินงานของทั้งปี 2563 ที่ผ่านมาแม้ต้องเผชิญกับความผันผวนของเศรษฐกิจและการระบาดของโรค COVID-19 บริษัทฯ ยังคงรักษาการเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยมีรายได้จากการขาย 92,786 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 4 จากปีก่อน กำไรสุทธิ 6,457 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 23 จากปีก่อน และมี EBITDA (กำไรก่อนหักต้นทุนทางการเงิน ภาษีเงินได้ ค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่าย ไม่รวมเงินปันผลรับจากบริษัทร่วม และรวมกำไรขาดทุนจากอัตราแลกเปลี่ยนของเงินกู้ยืมตั้งแต่ไตรมาสที่ 1 ของปี 2562) เท่ากับ 16,876 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 11 จากปีก่อน
ซึ่งจากรายได้และกำไรที่เพิ่มขึ้น มีปัจจัยมาจากการนำเสนอโซลูชันด้านบรรจุภัณฑ์ที่หลากหลาย การบริหารต้นทุน วัตถุดิบ และซัพพลายเชนที่มีการปรับพอร์ตการผลิตสินค้าให้สอดคล้องกับสถานการณ์ การขยายฐานธุรกิจบรรจุภัณฑ์ปลายน้ำ (Downstream) และการควบรวมกิจการ (Merger & Partnership หรือ M&P) เพื่อขยายฐานธุรกิจในภูมิภาคอาเซียน รวมถึงการแลกเปลี่ยนจุดแข็งและสร้างประโยชน์จากการผนึกพลัง (Synergy) กับ PT Fajar Surya Wisesa Tbk. และ Visy Packaging (Thailand) Limited
สำหรับผลการดำเนินงานในไตรมาสที่ 4 ปี 2563 เติบโตอย่างแข็งแกร่งเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนเช่นกัน โดยมีรายได้จากการขาย 23,596 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 2 จากช่วงเดียวกันของปีก่อน กำไรสุทธิ 1,486 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 24 จากช่วงเดียวกันของปีก่อน และมี EBITDA เท่ากับ 4,211 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 9 จากช่วงเดียวกันของปีก่อน จากความต้องการใช้บรรจุภัณฑ์ที่มากขึ้นในกลุ่มอาหารและเครื่องดื่ม สินค้าอุปโภคบริโภค และบรรจุภัณฑ์อาหาร (Foodservice Packaging) โดยเฉพาะในช่วงเทศกาลปลายปี รวมถึงมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจในประเทศอินโดนีเซีย
SCGP รุกขยายธุรกิจด้านบรรจุภัณฑ์อาหารรองรับเมกะเทรนด์การเติบโต ปิดดีลเข้าถือหุ้นร้อยละ 100 ใน Go-Pak หนึ่งในผู้นำการให้บริการโซลูชันด้านบรรจุภัณฑ์อาหารแถบสหราชอาณาจักร ยุโรป และอเมริกาเหนือ ซึ่งมีฐานการผลิตอยู่ในเวียดนาม ช่วยต่อยอดขยายฐานลูกค้าในภาคธุรกิจบริการด้านอาหาร ผู้ค้าปลีกและค้าส่งในธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องกับร้านอาหาร ร้านอาหารบริการด่วนในสหราชอาณาจักร ยุโรป อเมริกาเหนือ และช่วยเพิ่มศักยภาพการขยายฐานตลาดในอาเซียน
อย่างไรก็ตามจากสถานการณ์โรคระบาดในบางประเทศที่ปรับตัวดีขึ้น การออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของประเทศต่าง ๆ ความต้องการใช้บรรจุภัณฑ์สำหรับอาหารและเครื่องดื่ม (F&B) สินค้าอุปโภคบริโภค การขยายตัวของอีคอมเมิร์ซ การเลือกใช้บรรจุภัณฑ์อาหารที่มีความปลอดภัยเพิ่มขึ้น ส่งผลดีต่อยอดขายบรรจุภัณฑ์ของ SCGP ในช่วงไตรมาสสุดท้ายของปีที่ผ่านมา โดยช่วงไตรมาสที่ 4 ของปีที่ผ่านมา SCGP ได้เข้าลงทุนใน Bien Hoa Packaging Joint Stock Company (SOVI) ในประเทศเวียดนาม เพื่อการขยายธุรกิจบรรจุภัณฑ์ปลายน้ำและเสริมความแข็งแกร่ง ด้วยการบูรณาการกับธุรกิจบรรจุภัณฑ์ต้นน้ำของ SCGP ในประเทศเวียดนาม และการลงทุนล่าสุดใน Go-Pak UK Limited (Go-Pak) ผู้ผลิตบรรจุภัณฑ์อาหารชั้นนำ จะส่งผลให้ SCGP สามารถขยายตลาดใหม่ในสหราชอาณาจักร ยุโรปและอเมริกาเหนือ เพิ่มความหลากหลายของผลิตภัณฑ์ ทั้งนี้การขยายธุรกิจใน SOVI และ Go-Pak จะช่วยเสริมสร้างศักยภาพการนำเสนอบรรจุภัณฑ์แบบครบวงจรและเพิ่มรายได้ให้ SCGP กว่า 5,000 ล้านบาทต่อปี
ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร SCGP กล่าวว่า สำหรับปี 2564 บริษัทฯ ได้ตั้งงบลงทุนประมาณ 20,000 ล้านบาท โดยจะลงทุนขยายธุรกิจด้านบรรจุภัณฑ์ปลายน้ำในภูมิภาคอาเซียนอย่างต่อเนื่อง ทั้งนี้โครงการขยายกำลังผลิตกระดาษบรรจุภัณฑ์ในประเทศอินโดนีเซียและฟิลิปปินส์ และโครงการขยายบรรจุภัณฑ์โพลิเมอร์ในประเทศไทยจะแล้วเสร็จและเริ่มดำเนินการได้ภายในปี 2564 นี้ นอกจากนี้ได้วางแผนบริหารจัดการธุรกิจอย่างมีประสิทธิภาพ เพื่อขยายฐานลูกค้าในกลุ่มอุตสาหกรรมการผลิตสินค้าอุปโภคบริโภค รองรับภาพรวมอุตสาหกรรมบรรจุภัณฑ์ในระดับภูมิภาคที่มีแนวโน้มขยายตัวตามการฟื้นตัวของเศรษฐกิจหากสถานการณ์ระบาดของโรค COVID-19 เริ่มคลี่คลาย
โดยคาดว่าความต้องการบรรจุภัณฑ์อาหาร สินค้าอุปโภคบริโภค และสินค้าเพื่อสุขภาพ จะยังคงขยายตัวในปีนี้ และในระยะยาวคาดว่าอุตสาหกรรมบรรจุภัณฑ์จะได้รับปัจจัยบวกจากการเคลื่อนย้ายฐานการผลิตสินค้ามายังภูมิภาคอาเซียน
SCGP ให้ความสำคัญกับการขับเคลื่อนองค์กรโดยคำนึงถึงสิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาล (ESG) มุ่งเน้นดูแลสังคม รักษาสิ่งแวดล้อม การใช้ทรัพยากรอย่างคุ้มค่า การใช้พลังงานทดแทนในสัดส่วนที่เพิ่มขึ้น และพัฒนานวัตกรรมด้านบรรจุภัณฑ์ เพื่อการดูแลรักษาสิ่งแวดล้อมและยกระดับคุณภาพชีวิตของผู้บริโภค เช่น การพัฒนา R-1 นวัตกรรมบรรจุภัณฑ์พอลิเมอร์แบบอ่อนตัว (Flexible Packaging) ที่ผลิตจากฟิล์มประกบหลายชั้น ช่วยปกป้องสินค้าและทนทานแรงกระแทกได้ดี สามารถนำกลับมารีไซเคิลเป็นเม็ดพลาสติกและวัสดุอื่น ๆ ได้อย่างมีคุณภาพ ซึ่ง SCGP ได้ร่วมกับกลุ่มบริษัท ดาว (ประเทศไทย) และข้าวตราฉัตร พัฒนา R-1 เป็นถุงข้าวรักษ์โลกที่สามารถนำกลับมารีไซเคิลได้ 100% สอดคล้องกับการดำเนินธุรกิจด้วยปรัชญาเศรษฐกิจหมุนเวียนในการนำทรัพยากรกลับมาใช้ให้เกิดประโยชน์สูงสุด
นอกจากนี้ บริษัทฯ ยังได้วางกลยุทธ์เสริมศักยภาพการเป็นผู้นำด้านบรรจุภัณฑ์แบบครบวงจรในภูมิภาคอาเซียน โดยนำประสบการณ์และความเชี่ยวชาญของ SCGP ผนึกความร่วมมือเป็นพันธมิตรกับผู้ประกอบการในแต่ละประเทศ เพื่อร่วมขยายธุรกิจ พัฒนาโซลูชันด้านบรรจุภัณฑ์ พัฒนาบุคลากร สร้างมูลค่าเพิ่มแก่สินค้า เพื่อรองรับตลาดผู้บริโภคที่เติบโต ในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา SCGP ได้มีการขยายการลงทุนในเวียดนามอย่างต่อเนื่อง สร้างรายได้เติบโตเฉลี่ยกว่าร้อยละ 10 ต่อปี โดย SCGP ได้ก่อตั้ง Vina Kraft Paper Co., Ltd. เพื่อเป็นฐานการผลิตกระดาษบรรจุภัณฑ์ด้วยกำลังการผลิต 5 แสนตันต่อปี เพื่อตอบสนองความต้องการใช้บรรจุภัณฑ์และรองรับอุตสาหกรรมที่ขยายตัวอย่างต่อเนื่อง โดยเข้าลงทุนใน Tin Thanh Packing Joint Stock Company (BATICO) ผู้ผลิตบรรจุภัณฑ์แบบอ่อนตัว (Flexible Packaging) รายใหญ่ 1 ใน 5 ของเวียดนาม และประสบความสำเร็จในการร่วมมือกันวิจัยและพัฒนาผลิตภัณฑ์ และขยายตลาดในเวียดนามรวมถึงตลาดส่งออก นำมาสู่การลงทุนขยายกำลังการผลิตอีกร้อยละ 17 หรือ 84 ล้านตารางเมตรต่อปี เพื่อตอบสนองความต้องการใช้บรรจุภัณฑ์สินค้าอุปโภคบริโภคที่เพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง
ล่าสุดในเดือนมกราคม 2564 ที่ผ่านมา SCGP ได้ขยายการลงทุนในเวียดนามด้วยการควบรวมกิจการ Bien Hoa Packaging Joint Stock Company (หรือ SOVI) ผู้ผลิตชั้นนำด้านบรรจุภัณฑ์เมื่อเดือนมกราคม 2564 โดยเข้าถือหุ้นร้อยละ 94.11ผ่านบริษัทย่อย TCG Solution Pte.Ltd. ที่ถือหุ้นทั้งหมด โดยกลุ่มสยามบรรจุภัณฑ์ หรือ TCG มีกำลังการผลิตกระดาษลูกฟูกและกล่องลามิเนท (Offset Laminated Packaging) เพิ่มขึ้น 100,000 ตันต่อปี โดย SOVI มีรายได้กว่า 1,600 ล้านดอง (กว่า 2,200 ล้านบาท)
การลงนามร่วมกันระหว่าง SCGP และ Duy Tan ผ่านโปรแกรม
ทั้งนี้ เมื่อวันที่ 9 กุมภาพันธ์ 2564 SCGP ได้ลงนามสัญญาร่วมทุนใน Duy Tan Plastics Manufacturing Corporation (Duy Tan) ผู้นำด้านบรรจุภัณฑ์พลาสติกแบบคงรูปในเวียดนามมีรายได้ประมาณ 6,100 ล้านบาท โดยมีฐานลูกค้าเป็นบริษัทข้ามชาติและผู้ผลิตสินค้าอุปโภคบริโภคแบรนด์ชั้นนำในเวียดนาม และเป็นผู้ผลิตภาชนะเครื่องใช้พลาสติกในครัวเรือนแบรนด์ “DuyTan” ซึ่งเป็นที่รู้จักอย่างแพร่หลายในประเทศเวียดนาม มีกำลังการผลิตประมาณ 116,000 ตันต่อปี คาดว่าการทำธุรกรรมเข้าซื้อหุ้นร้อยละ 70 ครั้งนี้จะแล้วเสร็จประมาณกลางปี 2564
ความหลากหลายของบรรจุภัณฑ์ จากธุรกิจแพคเกจจิ้ง เอสซีจี
สำหรับการขยายการลงทุนในเวียดนามเป็นไปตามกลยุทธ์ของบริษัทที่ต้องการเพิ่มความหลากหลายของผลิตภัณฑ์ ทั้งบรรจุภัณฑ์จากพลาสติกและบรรจุภัณฑ์กระดาษ รวมถึงการพัฒนาทีมนักออกแบบในประเทศ พร้อมนำเสนอโซลูชันด้านบรรจุภัณฑ์แบบครบวงจร เพื่อตอบสนองความต้องการเฉพาะของลูกค้าแต่ละรายให้ดีมากยิ่งขึ้น ขณะเดียวกัน SCGP พร้อมประสานความร่วมมือแบบบูรณาการกับพันธมิตรทุกราย เพื่อแลกเปลี่ยนถ่ายทอดประสบการณ์และองค์ความรู้ในการพัฒนาโซลูชันด้าน บรรจุภัณฑ์แบบครบวงจร พร้อมทั้งจัดการทรัพยากรที่มีอยู่ให้เกิดประสิทธิภาพอย่างสูงสุดและเพิ่มประสิทธิภาพด้านการผลิตให้ดียิ่งขึ้น เพื่อสนับสนุนการเติบโตของลูกค้าในภูมิภาคอาเซียนที่มีความต้องการใช้บรรจุภัณฑ์สำหรับสินค้าต่าง ๆ เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง
“การขยายฐานการผลิตบรรจุภัณฑ์ปลายน้ำในเวียดนามทั้ง 3 โครงการ คาดว่าจะสร้างรายได้แก่ SCGP เพิ่มขึ้นประมาณ 8,500 ล้านบาทต่อปี นอกจากนี้ได้เตรียมศึกษาการขยายกำลังผลิตกระดาษทางตอนเหนือของเวียดนาม เพื่อรองรับความต้องการใช้จากลูกค้าในประเทศและการขยายตลาดส่งออก ซึ่งจะส่งผลดีต่อการเติบโตทางเศรษฐกิจเวียดนามอีกด้วย” นายวิชาญ กล่าว