IM สื่ออุตสาหกรรม เป็นสื่อสร้างสรรค์เพื่อส่งเสริมอุตสาหกรรม มุ่งเน้นนำเสนอข่าวสารด้านบวก ครอบคลุมทุกหมวดหมู่ธุรกิจ ด้วยเจตนารมณ์ที่ต้องการสร้างพื้นที่ให้กลุ่ม SMEs ได้มีที่ยืน ได้มีโอกาสได้ใช้ช่องทางเคียงคู่ไปกับผู้ประกอบการรายใหญ่ เพื่อให้อุตสาหกรรมไทยได้เติบโตไปพร้อมๆ กัน อย่างยั่งยืน
บริษัท สื่ออุตสาหกรรม จำกัด | 02 11 585 22 | [email protected]
โดยธนาคารโลกได้ระบุว่า ประเทศไทยจัดอยู่ในกลุ่มประเทศกลุ่มแรกคู่กับประเทศมาเลเซีย เรียกว่า "กลุ่มที่มีความมั่งคั่งอย่างก้าวหน้า" (The Progressive Prosperity Countries) เพราะไม่มีประชากรที่อยู่ในระดับยากจนค้นแค้น (Extreme Poor) แล้ว และมีจำนวนประชากรที่ยากจนปานกลาง (Moderate Poor) เพียงร้อยละ 0.8 ของจำนวนประชากรทั้งหมด ในขณะที่มีจำนวนประชากรที่มีความอ่อนแอทางเศรษฐกิจ (Economically Vulnerable) ร้อยละ 10.1 ประชากรที่มีความมั่นคงทางเศรษฐกิจ (Economically Secure) ร้อยละ 53.6 และประชากรในระดับชนชั้นกลาง (Middle Class) ร้อยละ 53.4 ตามลำดับ ซึ่งอยู่ในอันดับสูงที่สุดในอาเซียนรองจากประเทศมาเลเซีย
กลุ่มประเทศต่อมา คือกลุ่มที่สามารถหลุดพ้นจากความยากจนเพื่อมุ่งสู่ความมั่งคั่งได้ (The Out-of-Poverty-into-Prosperity Countries) โดยรายงานฉบับนี้กล่าวว่าประเทศจีน, มองโกเลีย และเวียดนาม เป็นประเทศที่อยู่ในกลุ่มนี้ เพราะอย่างน้อยสามารถสร้างความมั่นคงทางเศรษฐกิจได้ และกำลังอยู่ในกระบวนการเพิ่มจำนวนประชากรที่อยู่ในระดับชนชั้นกลาง
กลุ่มที่สาม ได้แก่ กลุ่มประเทศที่สามารถหลุดพ้นจากความยากจนข้นแค้น (The out-of-extreme-poverty countries) ได้ซึ่งได้แก่ประเทศกัมพูชา, อินโดนีเซีย, และฟิลิปปินส์ ซึ่งมีอัตราความยากจนค้นแค้นที่ต่ำและมีจำนวนประชากรกลุ่มชนชั้นกลางอยู่บ้างเล็กน้อย
กลุ่มประเทศที่สี่ ได้แก่กลุ่มประเทศที่ยังอยู่ในความยากจน (The Lagging-Progress Countries) ได้แก่ ประเทศสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว และ ปาปัวนิวกินี โดยในสองประเทศนี้ยังคงมีประชากรที่ยากจนในระดับยากจนข้นแค้นอยู่จำนวนมาก
ส่วนกลุ่มประเทศสุดท้ายซึ่งรายงานฉบับนี้ไม่ได้นำมาประเมินนำเสนอ คือกลุ่มประเทศ The Pacific Islands เนื่องจากตั้งอยู่กันอย่างกระจัดกระจายและไม่สามารถใช้เกณฑ์ในการประเมินเดียวกันประเทศอื่น ๆ ได้
โดย ดร.แคทเธอลีนา เลเดอร์ชิ นักเศรษฐศาสตร์อาวุโส ธนาคารโลก และนักวิจัย จากมหาวิทยาลัยอ๊อกซฟอร์ด ประเทศอังกฤษ หัวหน้าทีมวิจัยที่จัดทำรายงานฉบับนี้กล่าวว่า ในช่วงหลายทศวรรษที่ผ่านมาภูมิภาคเอเชียตะวันออกและแปซิฟิกเป็นภูมิภาคที่สามารถดำเนินการขจัดความยากจนได้อย่างประสบความสำเร็จ โดยสามารถทำให้ประชากรกว่าร้อยละ 40 พ้นจากความยากจนได้ และมีประชากรถึง 2 ใน 3 ส่วนที่มีความมั่นคงทางเศรษฐกิจแล้ว
ดร.แคทเธอลีนา ระบุว่า อย่างไรก็ตาม ประเทศเหล่านี้พึงตระหนักว่าปัจจัยที่นำไปสู่ความสำเร็จในวันนี้ อาจไม่เพียงพอสำหรับการก้าวต่อไปอย่างมั่งคั่งและยั่งยืนสู่หนทางแห่งการพัฒนาที่ยั่งยืนบนพื้นฐานของการเติบโตอย่างทั่วถึง (Inclusive Growth)
ดร.แคทเธอลีนา กล่าวว่า ปัจจัยสำคัญที่ทำให้ภูมิภาคนี้ประสบความสำเร็จ คือการที่สามารถทำให้ประชากรที่ยากจนข้นแค้นและคนที่มีความยากจนปานกลางมีปริมาณลดลง, การลดจำนวนของประชากรที่มีความเสี่ยงทางเศรษฐกิจและเพิ่มจำนวนประชากรที่มีความมั่นคงทางเศรษฐกิจ รวมถึงการเพิ่มจำนวนชนชั้นกลาง (ที่หมายรวมถึงชนชั้นกลางและผู้ที่มีฐานะร่ำรวย) ให้มากขึ้น
อย่างไรก็ตาม ดร.แคทเธอลีนา ตั้งข้อสังเกตว่า ประเทศในภูมิภาคนี้อาจเผชิญปัญหาหรือความท้าทายร่วมที่สำคัญ 4 ประการได้แก่
1) มีความเหลื่อมล้ำเพิ่มมากขึ้น
2) ผลกระทบทางเศรษฐกิจเนื่องจากการค้าโลกที่ลดลง
3) การก้าวเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุ
4) การเติบโตของสังคมเมืองซึ่งจะทำให้เกิดความท้าทายใหม่ ๆ หรือปัญหาใหม่ ๆ ที่ต้องมีวิธีบริหารจัดการแบบใหม่ให้เหมาะสมกับบริบทที่เกิดขึ้น
ดร.แคทเธอลีนา ได้แนะนำมาตรการสำคัญ 3 ประการเพื่อรับมือกับความท้าทายใหม่ดังกล่าวได้แก่
1) การกำหนดนโยบายที่เหมาะสมตามกลุ่มเป้าหมาย เช่น การสร้างงาน สร้างสุขภาวะและความเป็นอยู่ที่ดี ผ่านการให้การศึกษาที่เท่าเทียมและทั่วถึง เพื่อส่งเสริมให้เกิดความคล่องตัวทางเศรษฐกิจอย่างต่อเนื่อง
2) สร้างความมั่นคงทางเศรษฐกิจผ่านการให้ความช่วยเหลือทางด้านสังคมมากขึ้น เช่น การสร้างหลักประกันทางสังคม และการบริหารจัดการความเสี่ยงต่าง ๆ
3) การสร้างความเข้มแข็งให้กับหน่วยงาน หรือองค์กรต่าง ๆ ที่ดำเนินงานเกี่ยวกับการส่งเสริมเศรษฐกิจ, การพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ และการบริหารจัดการงบประมาณสาธารณะ
โดย ดร.แคทเธอลีนา กล่าวปิดท้ายว่า ประเทศในเอเชียตะวันออกและแปซิฟิก ควรจะมียุทธศาสตร์การพัฒนาด้านสังคมแบบใหม่ที่จะนำไปสู่การขับเคลื่อนการพัฒนาที่มั่งคั่ง เพื่อให้เกิดการพัฒนาแบบเติบโตไปด้วยกัน และลดความเหลื่อมล้ำโดยทุกคนสามารถมีส่วนร่วมในการดำเนินการพัฒนาคุณภาพชีวิตและความมั่งคั่งไปพร้อมกัน (Inclusive Prosperity)
ด้าน ดร.สมชัย จิตสุชน ผู้อำนวยการวิจัยด้านการพัฒนาอย่างทั่วถึง สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (ทีดีอาร์ไอ) และ หัวหน้าโครงการพัฒนาตัวชี้วัดความยั่งยืนชุมชนมั่นพัฒนา โดย มูลนิธิมั่นพัฒนา แสดงความเห็นว่า แม้ขณะนี้ประเทศไทยจะถูกจัดให้อยู่ในกลุ่มประเทศที่มีความมั่งคั่งอย่างก้าวหน้าร่วมกับประเทศเพื่อนบ้านอย่างมาเลเซีย ตนคิดว่าไทยยังตามหลังมาเลเซียในหลายเรื่อง โดยเฉพาะปัญหาเรื่องความเหลื่อมล้ำที่เรื้อรังมานาน โดยประเทศไทยให้ความสำคัญกับการพัฒนาเศรษฐกิจเป็นหลัก และยังไม่ได้มีการลงทุนในเรื่องของการพัฒนาสังคม เท่าที่ควร เช่น ด้านการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ และการศึกษา ต่างจากประเทศเกาหลีใต้หรือไต้หวันที่ลงทุนด้านการศึกษาอย่างมาก ทำให้มีบุคลากรคุณภาพมากขึ้น ประเทศเติบโตอย่างรวดเร็ว และลดความเหลื่อมล้ำไปพร้อมกันได้
ดร.สมชัย ระบุว่า การกระจายอำนาจเป็นเรื่องสำคัญอีกประการหนึ่งสำหรับประเทศไทย เพราะหากสังเกตจากปัญหาความรุนแรงทางการเมืองที่เกิดขึ้นในช่วงที่ผ่านมา จะพบว่าส่วนหนึ่งเกิดจากการที่อำนาจทางการเมืองมีศูนย์รวมอยู่ในกรุงเทพฯ หากมีการกระจายอำนาจออกไป ความขัดแย้งก็อาจลดลงตามไปด้วย ทำให้การพัฒนาท้องถิ่นเกิดประสิทธิภาพ เพราะสามารถตอบสนองความต้องการของคนในพื้นที่ได้มากขึ้น ลดความเหลื่อมล้ำระหว่างชนบทกับเมืองได้ และไทยไม่ควรเน้นไปที่อุตสาหกรรมเพื่อการส่งออกเท่านั้น แต่ควรปรับกระบวนทัศน์ไปสู่อุตสาหกรรมบริการ เช่น การท่องเที่ยว ให้มากขึ้น โอกาสและสิ่งดี ๆ ก็จะกระจายไปยังส่วนอื่น ๆ ในวงกว้างได้