รัฐบาลสหรัฐอเมริกา ประกาศขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าจีนเพิ่มเติมแล้วเมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมา (17 กันยายน 2561) โดยแถลงการณ์ของทำเนียบขาวระบุว่า จะขึ้นภาษีเพิ่มในอัตรา 10% คิดเป็นวงเงินรวม 200,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ มีผลตั้งแต่วันที่ 24 กันยายนนี้เป็นต้นไป
จากนั้นในวันที่ 1 มกราคม 2562 จะเรียกเก็บเพิ่มเป็น 25% และถ้าหากจีนตัดสินใจตอบโต้ด้วยการขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าสหรัฐฯ ซึ่งส่งผลกระทบต่อเกษตรกรและอุตสาหกรรมภายในประเทศของสหรัฐฯ จีนก็จะต้องพบกับมาตรการขั้นที่สาม นั่นคือสหรัฐฯจะเก็บภาษีสินค้าจีนเพิ่มขึ้นอีกในวงเงิน 267,000 ล้านดอลลาร์เป็นการตอบโต้

ทั้งนี้ การขึ้นภาษีสินค้าจีนดังกล่าว มีการคัดกรองสินค้าประมาณ 300 รายการออกไปจากบัญชีเดิมที่เคยมีการร่างไว้ว่าจะถูกจัดเก็บภาษีเพิ่ม อาทิ นาฬิกาประเภทสมาร์ทวอทช์ สินค้าเคมีภัณฑ์บางรายการ หมวกนิรภัยสำหรับผู้ขี่จักรยาน และเก้าอี้ทรงสูงสำหรับทารกฝึกรับประทานอาหาร
ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ของสหรัฐฯระบุในแถลงการณ์ว่า สหรัฐฯแสดงให้เห็นชัดเจนมาตลอดว่าต้องการให้จีนเปลี่ยนแปลงตัวเองอย่างไร และเปิดโอกาสให้จีนมานานนับเดือนๆในการที่จะทำการค้ากับสหรัฐฯอย่างเป็นธรรม แต่จนกระทั่งขณะนี้ สหรัฐฯก็เห็นว่าจีนยังไม่ยินยอมที่จะปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการค้าของตัวเอง ผู้นำสหรัฐฯ ยังได้โพสต์ในทวิตเตอร์เมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมา (17 กันยายน) ให้เหตุผลสนับสนุนการขึ้นภาษีในครั้งนี้ โดยระบุว่า มาตรการทางภาษีทำให้สหรัฐฯมีอำนาจการต่อรองสูง และทำให้เงินหลายพันล้านดอลลาร์รวมทั้งการจ้างงานไหลกลับมาสู่ประเทศสหรัฐอเมริกา ในขณะที่ต้นทุนสินค้าที่ว่าสูงขึ้นนั้น แทบจะไม่เห็นเป็นรูปธรรม
ถ้าประเทศไหนค้าขายกับสหรัฐฯไม่เป็นธรรม ประเทศนั้นก็จะต้องเจอกับ “ภาษี!”
อย่างไรก็ตาม ปฏิกริยาตอบรับจากกลุ่มอุตสาหกรรมในสหรัฐฯ หลังการประกาศขึ้นภาษีครั้งนี้ เป็นไปในทางผิดหวัง สมาคมผู้ประกอบการอุตสาหกรรมแห่งชาติ หรือ National Association of Manufacturers (NAM) ออกแถลงการณ์ว่า การขึ้นภาษีสินค้านำเข้าจากจีนในครั้งนี้อาจจะทำให้ประโยชน์ที่ผู้ประกอบการเคยมีเคยได้จากการปฏิรูปทางด้านกฎระเบียบและภาษีในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ต้องสูญสลายไป ทุกๆวันที่สหรัฐฯไม่สามารถตกลงที่จะมีกรอบกติกาการค้ากันได้ นั่นหมายถึงความเสี่ยงที่เพิ่มขึ้นทุกวันสำหรับผู้ประกอบการและผู้ใช้แรงงาน

ตั้งแต่เดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา สหรัฐฯขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าจีนไปแล้วคิดเป็นมูลค่ารวม 50,000 ล้านดอลลาร์และจีนก็ตอบกลับด้วยการขึ้นภาษีสินค้าอเมริกันในมูลค่าที่เท่าเทียมกัน ความพยายามบนโต๊ะเจรจาเท่าที่ผ่านมาเห็นได้ชัดว่าไม่เป็นผลสำเร็จ นักเศรษฐศาสตร์ประมาณการณ์ว่า กำแพงภาษีนำเข้าจะนำไปสู่การปรับขึ้นราคาสินค้าซึ่งหมายถึงต้นทุนที่สูงขึ้นทั้งสำหรับผู้บริโภคและผู้ประกอบการธุรกิจ และก็อาจส่งผลทำให้การใช้จ่ายชะลอตัวลง ไม่ว่าจะเป็นการจับจ่ายใช้สอยของผู้บริโภคหรือการลงทุนของธุรกิจเอกชน ซึ่งนั่นก็จะส่งผลชะลอการเติบโตของเศรษฐกิจในภาพรวม