แม้ตลาดขนส่งในประเทศไทยจะแข่งขันกันสูง ผ่านผู้เล่นในตลาดเกือบ 10 ราย แต่ด้วยภาพรวม E-Commerce ที่ยังเติบโตอยู่ ทำให้ยังมีโอกาสของรายใหม่เข้ามาตลอด และหนึ่งในนั้นคือ Ninja Van ผู้เป็น Top 2 ที่สิงคโปร์
		 
		
			
	
			
เข้าไทยมาปีครึ่ง แถมเติบโต 3-4 เท่าตัว
Ninja Van บริษัท Top 2 ด้านการขนส่งแบบ End-to-End จากประเทศสิงคโปร์ ถือเป็นหน้าใหม่ในประเทศไทย เพราะเพิ่งเข้ามาทำตลาดได้เพียง 1 ปีครึ่งเท่านั้น โดยเหตุผลที่บริษัทเข้ามาก็เพราะเห็นโอกาสในธุรกิจขนส่งอยู่ แม้ปัจจุบันจะมีผู้เล่นทั้งไทย และต่างประเทศจำนวนมากครองตลาดอยู่แล้ว
วีรชัย ชูสกุลพร หัวหน้าผู้บริหาร บริษัท นินจา โลจิสติกส์ (ประเทศไทย) จำกัด ผู้ให้บริการ Ninja Van เล่าให้ฟังว่า การเข้ามาทำตลาดที่นี่เป็นการต่อยอดความแข็งแกร่งที่ทำได้ในสิงคโปร์ที่เปิดมาตั้งแต่ปี 2557 แล้วสามารถชนกับยักษ์ใหญ่ที่นั่นได้ ทำให้บริษัทแม่ตัดสินใจขยายธุรกิจออกมาอีก 5 ประเทศ ซึ่งไทยคือหนึ่งในนั้น
 บริการขนส่งของ Ninja Van
บริการขนส่งของ Ninja Van
“นอกจากไทย Ninja Van ก็ขยายไปอินโดนีเซีย, มาเลเซีย, เวียดนาม และฟิลิปปินส์ โดยชูเรื่องการขนส่งที่ไร้ความยุ่งยาก พร้อมกับเน้นเจาะตลาด E-Commerce เป็นหลัก เนื่องจากเป็นตลาดที่ยังเติบโตอยู่ และถึงคู่แข่งจะมาก แต่จริงๆ แล้ว Supply ก็ไม่เพียงพอต่อ Demand อยู่ดี”
ขยายให้ครอบคลุม 55 จังหวัดภายในปีนี้
อย่างไรก็ตามปัจจุบัน Ninja Van ยังครอบคลุมการขนส่งแค่ 33 จังหวัดเท่านั้น ทำให้กลายเป็นจุดอ่อนเมื่อเทียบกับคู่แข่ง แต่ปีนี้จะลงทุนเรื่องคน และระบบบริหารจัดการภายใน เพื่อขยายให้ครอบคลุม 55 จังหวัดให้ได้ และกลายเป็นบริษัทขนส่งแบบ End-to-End ตามที่บริษัทคาดหวังได้เร็วที่สุด
 พื้นที่ขนส่งของ Ninja Van
พื้นที่ขนส่งของ Ninja Van
“เมื่อเราวางตัวเป็น End-to-End เรื่องคน, รถยนต์คนส่ง และคลังสินค้าก็ต้องเป็นเราที่เข้าไปลงทุน โดยตอนนี้ก็มีคนขับกว่า 400 คน และเพิ่งสร้างคลังสินค้าขนาดกว่า 6,000 ตร.ม. น่าจะเพียงพอในการทำตลาดอีก 2-3 ปีข้างหน้า นอกจากนี้ยังมีแผนลงทุนเรื่องการตลาดเพื่อสร้างแบรนด์เพิ่มเติมเช่นกัน”
สำหรับการสร้างแบรนด์ให้เป็นที่รู้จักมากขึ้น Ninja Van เตรียมลงทุนเปิดจุดบริการรับส่งสินค้าตามพื้นที่ที่น่าสนใจ นอกจากการทำ Online Marketing ร่วมกับพาร์ทเนอร์ E-Commerce ขนาดใหญ่ในประเทศไทย แต่บริษัทคงต้องเพิ่มคนอีก 2 เท่าตัว และการลงทุนอีก 3 เท่าตัวถึงจะทำเช่นนั้นได้
 
เป้าระยะยาวคือเป็นเบอร์ต้นๆ ของผู้ใช้
ส่วนปีนี้บริษัทตั้งเป้าเติบโต 3 เท่าตัวในแง่จำนวนการขนส่งเช่นเดียวกับปีก่อนหน้านี้ ผ่านการทำตลาด 2 รูปแบบคือ Ninja Easy ที่จะเจาะกลุ่มผู้ใช้งานทั่วไปที่มีจำนวนส่งไม่มาก ใช้บริการได้ผ่านแอปพลิเคชั่น ราคาเริ่มต้น 35 บาท กับ Ninja Premium ที่เจาะตลาดร้านออนไลน์ที่ส่งสินค้าทีละมากๆ โดยสามารถกำหนดเวลารับส่งสินค้าได้เอง
ซึ่งลูกค้าที่เป็นกลุ่ม Ninja Premium กับบริษัทอีคอมเมิร์ซขนาดใหญ่นั้นมีถึง 200 รายแล้ว ซึ่งปีนี้จะทำตลาดเพื่อเพิ่มจำนวนให้มากขึ้นเช่นกัน ที่สำคัญคือบริษัทจะไม่เน้นแข่งขันด้วยราคา แต่ชูเรื่องความเร็ว และความง่ายในการใช้บริการมากกว่า เพราะถ้าแข่งด้วยราคาก็จะทำให้ตลาดเสียโดยอัตโนมัติ
 ตารางราคาของ Ninja Van
ตารางราคาของ Ninja Van
“เราเน้นเซอร์วิส และความง่าย เช่นบริการรับเก็บเงินปลายทางที่ตอบโจทย์คนที่อยากซื้อสินค้าออนไลน์ แต่ไม่มีบัตรเครดิต หรืออยากเห็นสินค้าก่อน นอกจากนี้อีกเป้าระยะยาวของเราคือ อาจช่วยพ่อค้าแม่ค้าทำตลาดแบบ Cross Border เพราะเรามีเครือข่ายครอบคลุม 6 ประเทศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และเป็นตัวเลือกต้นๆ ในการใช้งาน”
สรุป
ถึงปัจจุบันไปรษณีย์ไทย และ Kerry เหมือนจะครองตลาดขนส่งในฝั่งอีคอมเมิร์ซเอาไว้ แต่เอาเข้าจริงๆ แค่ 2 ราย รวมถึงรายย่อยอื่นๆ มันก็ไม่เพียงพอต่อความต้องการของพ่อค้าแม่ค้าในตลาด จึงเชื่อว่าหลังจากนี้น่าจะมีบริษัทจากต่างประเทศเข้ามาทำตลาดอีก ส่วนในกรณีของ Ninja Van คงต้องดูกันยาวๆ ว่าจะแข่งขันกับผู้เล่นอื่นๆ อย่างไรอีก
ที่มา : brandinside.asia/