IM สื่ออุตสาหกรรม เป็นสื่อสร้างสรรค์เพื่อส่งเสริมอุตสาหกรรม มุ่งเน้นนำเสนอข่าวสารด้านบวก ครอบคลุมทุกหมวดหมู่ธุรกิจ ด้วยเจตนารมณ์ที่ต้องการสร้างพื้นที่ให้กลุ่ม SMEs ได้มีที่ยืน ได้มีโอกาสได้ใช้ช่องทางเคียงคู่ไปกับผู้ประกอบการรายใหญ่ เพื่อให้อุตสาหกรรมไทยได้เติบโตไปพร้อมๆ กัน อย่างยั่งยืน
บริษัท สื่ออุตสาหกรรม จำกัด | 02 11 585 22 | [email protected]
RT ให้ข้อมูลแก่สื่อมวลชนและนักลงทุนในงาน Oppday Q2/2022 ออนไลน์
นายชวลิต ถนอมถิ่น (กลาง) ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ไร้ท์ทันเน็ลลิ่ง จำกัด (มหาชน) หรือ RT ผู้เชี่ยวชาญพิเศษด้านวิศวกรรมโยธาและธรณีเทคนิค เปิดเผย ว่า ท่ามกลางสถานการณ์วิกฤติซ้อนวิกฤติของภาคอุตสาหกรรมก่อสร้างที่ส่งผลยาวนานจนถึงปัจจุบัน บริษัทฯได้มุ่งมั่นดำเนินงานโครงการให้มีความรวดเร็ว เพื่อสามารถส่งมอบงานตามกำหนดเวลาอย่างมีมาตรฐาน ควบคู่กับการปรับกลยุทธ์จัดการต้นทุนก่อสร้าง รวมถึงติดตามสถานการณ์และประเมินแผนการใช้วัสดุก่อสร้างเป็นระยะ รวมถึงการเจรจากับพันธมิตรทางธุรกิจเพื่อวางแผนจัดซื้อวัสดุก่อสร้างล่วงหน้า ซึ่งส่งผลให้บริษัทสามารถควบคุมต้นทุนการก่อสร้างได้ดีขึ้น โดยล่าสุดบริษัทฯมีงานในมือที่รอรับรู้รายได้ (Backlog) อยู่ที่ 4,782 ล้านบาท โดยมีสัดส่วนรายได้แบ่งตามประเภทงาน ประกอบด้วย งานก่อสร้างอุโมงค์และโครงสร้างใต้ดิน 42.73%, งานก่อสร้างเขื่อนและระบบชลประทาน 32.52%, งานก่อสร้างท่อลอดใต้ดินวิธีดันท่อและวิธีเจาะและดึงท่อ 14.92%, และ งานอื่น ๆ 9.83% อาทิ งานก่อสร้างถนน, งานเจาะสำรวจธรณีวิทยา และงาน Slope Protection เป็นต้น
งานอุโมงค์และชาร์ป เขื่อนเดือนตรี กัมพูชา แล้วเสร็จแล้วกว่า 91.24%
สำหรับทิศทางการดำเนินงานครึ่งปีหลัง 2565 คาดว่ามีแนวโน้มที่ดีขึ้น จากปัจจัยที่เป็นผลกระทบจากการแพร่ระบาดของโควิด-19 และ สงครามรัสเซีย-ยูเครน ที่มีผลต่อการดำเนินงานเริ่มมีแนวโน้มคลี่คลาย อาทิ ราคาวัสดุก่อสร้างและน้ำมันปรับตัวลดลง แรงงานก่อสร้างเริ่มกลับมาทำงานได้ตามปกติ ส่งผลให้โครงการก่อสร้างเริ่มกลับมาดำเนินงานได้ตามแผนที่วางไว้ และทยอยรับรู้รายได้อย่างต่อเนื่อง อย่างไรก็ตาม บริษัทยังคงเฝ้าระวังปัจจัยเสี่ยงของธุรกิจอย่างใกล้ชิดพร้อมทั้งปรับกลยุทธ์ให้สอดคล้องกับสถานการณ์ และมุ่งเน้นการบริหารจัดการแรงงานก่อสร้างทั้งไทยและต่างชาติ ทั้งด้านขั้นตอนการดำเนินงานในไซต์ก่อสร้าง ด้านปริมาณและการขนย้ายแรงงาน เพื่อรองรับงานโครงการก่อสร้างใหม่ที่จะเกิดขึ้นในอนาคต
บริษัทได้ผ่านช่วงต่ำสุดของธุรกิจมาแล้ว เชื่อว่าการดำเนินธุรกิจครึ่งปีหลังจะมีแนวโน้มที่ดี จากงานที่เข้ามาอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะงานโครงการก่อสร้างขนาดใหญ่ของภาครัฐที่กำลังอยู่ระหว่างการเจรจา
ขณะเดียวกัน บริษัทมีแผนการเข้าประมูลงานทั้งงานโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่ของภาครัฐที่กำลังจะเปิดการประมูลในช่วงครึ่งปีหลัง 2565 และงานก่อสร้างที่ต่อยอดจากการเป็นผู้รับเหมาช่วง (Subcontract) อาทิ งานประเภทอุโมงค์, งานประเภทเขื่อน และ ระบบชลประทาน, งานท่อร้อยสายไฟฟ้าใต้ดิน, งานก่อสร้าง Slope Protection รวมถึงโครงการก่อสร้างภาคเอกชน เพื่อเพิ่มโอกาสการเข้ารับงานของบริษัทอย่างต่อเนื่อง โดยมุ่งเน้นงานที่มีมาร์จิ้นสูงเนื่องจากเป็นงานที่ต้องอาศัยความรู้ความสามารถจากบริษัทที่มีประสบการณ์และความชำนาญพิเศษ รวมถึงยังมีโครงการที่อยู่ระหว่างเจรจาเพื่อเข้ารับงานประเภทโรงไฟฟ้าพลังงานน้ำในสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว คาดว่าจะมีความชัดเจนในช่วงไตรมาส 4/2565 และจะเริ่มรับรู้รายได้จากงานดังกล่าวในปี 2566 อีกด้วย
“บริษัทได้ผ่านช่วงต่ำสุดของธุรกิจมาแล้ว เชื่อว่าการดำเนินธุรกิจครึ่งปีหลังจะมีแนวโน้มที่ดี จากงานที่เข้ามาอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะงานโครงการก่อสร้างขนาดใหญ่ของภาครัฐที่กำลังอยู่ระหว่างการเจรจา คาดว่าจะมีความชัดเจนในช่วงไตรมาส 3/2565 นอกจากนี้ ยังมีงานโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่อีกหลายงานที่กำลังจะเปิดการประมูล มั่นใจว่าด้วยศักยภาพของบริษัทจะส่งผลให้สามารถเข้าประมูลและรับงานดังกล่าวได้ โดยคาดว่างานต่าง ๆ ที่ได้รับจะทำให้บริษัทมีมูลค่างานในมือที่รอรับรู้รายได้ (Backlog) ทั้งหมดในปีนี้ อยู่ที่ 8,500 ล้าน โดยทยอยรับรู้รายได้ถึงปี 2567 ซึ่งเป็นสถิติสูงสุดตั้งแต่ก่อตั้งบริษัท” นายชวลิต กล่าวเพิ่มเติม
สำหรับผลประกอบการไตรมาส 2/65 ที่ผ่านมาบริษัทฯมีรายได้รวม 588.39 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากไตรมาสก่อนที่มีรายได้รวม 503.69 ล้านบาท จำนวน 84.7 ล้านบาท หรือ เพิ่มขึ้น 16.82% และมีกำไรสุทธิ 0.21 ล้านบาท จากไตรมาสก่อนที่ขาดทุนสุทธิ 25.31 ล้านบาท จำนวน 25.52 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 100.85% ขณะที่ทิศทางการดำเนินงานไตรมาส 3/65 บริษัทคาดว่าจะมีแนวโน้มที่ดีขึ้น จากการมุ่งเน้นขยายประสิทธิภาพการบริหารจัดการโครงการ ทั้งงานก่อสร้างที่อยู่ในแผนและงานที่กำลังจะเข้ามา เพื่อส่งมอบงานได้เร็วขึ้น โดยทิศทางการดำเนินงานไตรมาส 3/65 บริษัทคาดว่าจะมีแนวโน้มที่ดีขึ้น จากการมุ่งเน้นขยายประสิทธิภาพการบริหารจัดการโครงการ ทั้งงานก่อสร้างที่อยู่ในแผนและงานที่กำลังจะเข้ามา เพื่อส่งมอบงานได้เร็วขึ้นและสร้างการรับรู้รายได้ต่อเนื่อง
ทั้งนี้ บริษัทลงพื้นที่ติดตามงานก่อสร้างอย่างใกล้ชิด พร้อมบริหารจัดการต้นทุนเพื่อรักษาอัตราการทำกำไร โดยเพิ่มปริมาณเครื่องจักรในพื้นที่ไซต์งานให้เพียงพอ และ จัดการแรงงานก่อสร้างที่กลับมาดำเนินงานได้ตามปกติด้วยความร่วมมือระหว่างบริษัทและพันธมิตร โดยมีแผนการเพิ่มแรงงาน 30% จากจำนวนแรงงานทั้งหมดของบริษัท ซึ่งปัจจุบันมีการนำเข้ามาแล้ว 10% และจะทยอยนำเข้าให้ครบจำนวนภายในไตรมาส 3/65 เพื่อรองรับการขยายตัวของงานก่อสร้างครอบคลุมพื้นที่กรุงเทพฯ และต่างจังหวัดทั้งหมด 25 โครงการ อีกทั้งบริษัทฯ เข้ารับงานใหม่จำนวน 2 โครงการ ได้แก่ งานก่อสร้างอุโมงค์รถไฟ ช่วงเด่นชัย-งาว โครงการก่อสร้างทางรถไฟทางคู่ สายเด่นชัย-เชียงราย-เชียงของ สัญญาที่ 1 มูลค่า 2,281.26 ล้านบาท และ โครงการเปลี่ยนระบบสายไฟฟ้าอากาศเป็นสายไฟฟ้าใต้ดิน โครงการตามแนวรถไฟฟ้าสายสีส้ม (ตะวันออก) ถนนเพชรบุรี มูลค่า 556.5 ล้านบาท รวมมูลค่างานก่อสร้างทั้งหมดที่ได้รับจำนวน 2,837.76 ล้านบาท
ด้านผลประกอบการครึ่งปีแรก 2565 บริษัทมีรายได้รวม 1,091.18 ล้านบาท ลดลงจากช่วงเดียวกันปีก่อนที่มีรายได้รวม 1,334.98 ล้านบาท และมีขาดทุนสุทธิ 25.10 ล้านบาท ลดลงจากช่วงเดียวกันปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 44.52 ล้านบาท ทั้งนี้จากการปรับตัวของรายได้และกำไรที่ดีขึ้นเมื่อเทียบกับไตรมาสก่อน มาจากการจัดการต้นทุนวัสดุก่อสร้าง อาทิ เหล็ก,น้ำมัน อีกทั้งการผ่อนคลายมาตรการปิดแคมป์ก่อสร้างในช่วงการแพร่ระบาดของโควิด-19 ส่งผลให้การจัดการต้นทุนด้านการดูแลแรงงานที่ได้รับผลกระทบมีแนวโน้มดีขึ้น ทำให้สามารถบริหารงานก่อสร้างและการส่งมอบงาน รวมถึงการรับรู้รายได้จากโครงการต่าง ๆ เร็วขึ้น ขณะที่ บริษัทมีรายได้และกำไรปรับตัวลดลงเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันปีก่อน เป็นผลจากการระบาดของโควิด-19 ต่อเนื่องจากปี 2564 ที่ผ่านมา
สำหรับทิศทางธุรกิจในช่วงไตรมาส 3/2565 บริษัทยังคงมุ่งเน้นการส่งมอบงานเพิ่มขึ้น โดยพัฒนาประสิทธิภาพการบริหารโครงการ พร้อมทั้งการจัดการแรงงานก่อสร้างที่เริ่มกลับมาทำงานได้ตามปกติ ประกอบกับบริษัทมีความร่วมมือกับบริษัทพันธมิตรเพื่อจัดหาแรงงานเพิ่มเติมในไซต์งานโครงการก่อสร้างใหม่ที่จะเกิดขึ้นในอนาคต ซึ่งจะมีความชัดเจนและพร้อมเดินทางเข้าพื้นที่ในช่วงเดือนสิงหาคม และจะสามารถดำเนินงานก่อสร้างได้ตามแผนที่วางไว้ อีกทั้งปัจจัยสนับสนุนด้านราคาต้นทุนวัสดุมีแนวโน้มปรับตัวลดลง จึงคาดว่าจะทำให้บริษัทมีผลการดำเนินงานที่ดีขึ้น
ทั้งนี้ บริษัทเตรียมเสนอขายหุ้นกู้ระยะยาว ชนิดระบุชื่อผู้ถือ ประเภทไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีประกัน และมีผู้แทนผู้ถือหุ้นกู้ โดยผู้ออกหุ้นกู้มีสิทธิไถ่ถอนหุ้นกู้ก่อนวันครบกำหนดหุ้นกู้ จำนวน 2 ชุด ได้แก่ หุ้นกู้ไม่มีประกันของบริษัท ไร้ท์ทันเน็ลลิ่ง จำกัด (มหาชน) ครั้งที่ 1/2565 ชุดที่ 1 ครบกำหนดไถ่ถอนปี พ.ศ. 2569 ซึ่งผู้ออกหุ้นกู้มีสิทธิไถ่ถอนหุ้นกู้ก่อนครบกำหนดไถ่ถอน” (“หุ้นกู้ชุดที่ 1”) มีอายุ 3 ปี 6 เดือน อัตราดอกเบี้ยคงที่ ร้อยละ 5.25 ต่อปี จ่ายดอกเบี้ยทุก 3 เดือน ตลอดอายุหุ้นกู้
และ หุ้นกู้ไม่มีประกันของ บริษัท ไร้ท์ทันเน็ลลิ่ง จำกัด (มหาชน) ครั้งที่ 1/2565 ชุดที่ 2 ครบกำหนดไถ่ถอนปี พ.ศ. 2570 ซึ่งผู้ออกหุ้นกู้มีสิทธิไถ่ถอนหุ้นกู้ก่อนครบกำหนดไถ่ถอน” (“หุ้นกู้ชุดที่ 2”) มีอายุ 5 ปี อัตราดอกเบี้ยคงที่ ร้อยละ 5.75 ต่อปี จ่ายดอกเบี้ยทุก 3 เดือน ตลอดอายุหุ้นกู้ โดยหุ้นกู้ทั้ง 2 ชุดเสนอขายรวมกันเป็นมูลค่าไม่เกิน 1,000 ล้านบาท โดยมีวัตถุประสงค์การใช้เงินเพื่อเป็นเงินลงทุนในโครงการก่อสร้างใหม่ที่บริษัทมีการเข้าประมูลและรับงานอย่างต่อเนื่อง อีกทั้งเป็นเงินทุนหมุนเวียนของกิจการและโครงการก่อสร้าง และการชำระเงินกู้กับสถาบันทางการเงิน
ด้านนายสุริยา ธรรมธีระ รองกรรมการผู้จัดการ บริษัท แอสเซท โปร แมเนจเม้นท์ จำกัด หรือ APM ในฐานะที่ปรึกษาทางการเงิน กล่าวว่า บริษัทมองเห็นถึงศักยภาพและการเติบโตของ RT ที่กำลังเตรียมความพร้อมเข้ารับงานอย่างต่อเนื่อง ซึ่งกลุ่มลูกค้าของ RT เป็นกลุ่มลูกค้าทั้งภาครัฐและเอกชนขนาดใหญ่ที่มีความมั่นคง อีกทั้ง RT ยังได้รับการจัดอันดับจากบริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด ด้วยเรทติ้ง ‘BBB-’ แนวโน้มอันดับเครดิต ‘Stable’ หรือ ‘คงที่’ ซึ่งแสดงถึงความน่าเชื่อถือของธุรกิจ รวมถึงการเป็นผู้นำธุรกิจรับเหมาก่อสร้างเฉพาะทาง มีความสามารถในการแข่งขันที่แข็งแกร่ง รวมถึงผลงานอุโมงค์และโครงสร้างใต้ดินที่ได้รับความไว้วางใจจากลูกค้าทั้งภาครัฐและเอกชนมาโดยตลอด จึงทำให้หุ้นกู้ของ RT เป็นผลิตภัณฑ์การลงทุนที่มีความน่าสนใจ ทั้งอัตราดอกเบี้ยและการจ่ายดอกเบี้ย และเป็นตัวเลือกที่ดีเมื่อเทียบกับผลิตภัณฑ์การลงทุนอื่น ๆ
“ด้วยกลยุทธ์การดำเนินงานที่ปรับเปลี่ยนตามสถานการณ์อย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้ธุรกิจในไตรมาสนี้มีทิศทางที่ดีขึ้น อย่างไรก็ตาม บริษัทเชื่อว่าอุตสาหกรรมได้ผ่านจุดต่ำสุดมาแล้ว และคาดว่าปัจจัยต่าง ๆ ที่กระทบกับต้นทุนมีแนวโน้มคลี่คลาย ประกอบกับแรงงานก่อสร้างที่กำลังจะกลับมา จึงมีความมั่นใจว่าบริษัทจะสามารถดำเนินงานก่อสร้างได้เร็วขึ้น นอกจากนี้บริษัทยังมีแผนส่งมอบงานบางโครงการเพื่อเพิ่มการรับรู้รายได้ของบริษัทอีกด้วย” นายชวลิต กล่าวเพิ่มเติม