IM สื่ออุตสาหกรรม เป็นสื่อสร้างสรรค์เพื่อส่งเสริมอุตสาหกรรม มุ่งเน้นนำเสนอข่าวสารด้านบวก ครอบคลุมทุกหมวดหมู่ธุรกิจ ด้วยเจตนารมณ์ที่ต้องการสร้างพื้นที่ให้กลุ่ม SMEs ได้มีที่ยืน ได้มีโอกาสได้ใช้ช่องทางเคียงคู่ไปกับผู้ประกอบการรายใหญ่ เพื่อให้อุตสาหกรรมไทยได้เติบโตไปพร้อมๆ กัน อย่างยั่งยืน
บริษัท สื่ออุตสาหกรรม จำกัด | 02 11 585 22 | an6n@yahoo.com
นายชเนศวร์ แสงอารยะกุล กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ไพลอน จำกัด (มหาชน) หรือ PYLON เปิดเผยว่า บริษัทเชื่อว่าช่วงครึ่งปีหลังสถานการณ์ภาพรวมจะเริ่มปรับตัวดีขึ้น โดยทางบริษัทยังคงเดินหน้าประมูลงานภาครัฐอย่างต่อเนื่อง ไม่ว่าจะเป็นโครงการพัฒนาสนามบินอู่ตะเภา และโครงการรถไฟฟ้าสายสีม่วงที่คาดว่าจะยื่นประมูลในช่วงปลายปี รวมไปถึงโครงการรถไฟฟ้าสายสีส้มที่จะทยอยตามมาอีกเช่นกัน ด้านโครงการรถไฟฟ้าสายสีชมพูที่ประมูลมาได้ 2 สถานี คาดว่าจะเริ่มเข้าไปดำเนินการได้ในเดือน ก.ค. รวมไปถึงโครงการรถไฟความเร็วสูงเชื่อม 3 สนามบิน ระยะทางราว 33 กิโลเมตร โดยเริ่มดำเนินงานปลายปี 2564 นี้ และโครงการรถไฟฟ้าความเร็วสูงไทย-จีน เส้นทางกรุงเทพฯ-นครราชสีมา ได้เริ่มดำเนินงานไปบางส่วนแล้ว
ส่วนโครงการภาคเอกชนมีโครงการใหญ่ที่อยู่ระหว่างการเจรจา 2 โครงการ มูลค่างานละ 150 ล้านบาท และยังมีงานรอประมูลอยู่อีกหลายโครงการมูลค่ารวมกว่าพันล้านบาท
อย่างไรก็ตาม บริษัทยังมีโครงการที่มีปัญหาและต้องกลับไปประมูลใหม่ คือโครงการทางด่วนสายพระราม3-ดาวคะนอง-วงแหวนรอบนอกด้านตะวันตก ที่เปิดประมูลทั้งหมด 4 สัญญา แต่ประมูลเสร็จสิ้นเพียงแค่ 2 สัญญาเท่านั้น ส่วนที่เหลืออีก 2 สัญญาจะต้องไปประมูลใหม่ คาดว่าจะเห็นความชัดเจนเร็วๆ นี้ และจะส่งผลให้บริษัทฯมีงานในมือ (Backlog) แตะที่พันล้านบาท
ด้าน นายพิสันติ์ ศิริศุขสกุลชัย กรรมการรองผู้จัดการใหญ่ ฝ่ายวิศวกรรมและการตลาด บริษัท ไพลอน จำกัด (มหาชน) หรือ PYLON เปิดเผย เพิ่มเติมว่า แนวโน้มในไตรมาสสุดท้ายของปี 2564 นี้ มองว่าภาพรวมการดำเนินธุรกิจของบริษัทฯจะดีขึ้นรวมถึงกลับมาทำงานในแต่ละโครงการได้เต็มที่มากขึ้นและได้เริ่มทำงานในโครงการใหม่จากสัญญาที่เซ็นไว้ก่อนหน้านี้ ซึ่งจากการรับงานใหม่ที่ผ่านมาส่งผลให้ปัจจุบันบริษัทฯมีงานในมือ หรือ Backlog เพิ่มเป็น 1,150 ล้านบาท จากงานภาครัฐ 40% ภาคเอกชน 60% รวมถึงมีงานใหญ่ของภาคเอกชนที่รอประมูลอีกด้วย และจะส่งผลให้ Backlog ของบริษัทฯมีความแข็งแกร่งมากยิ่งขึ้นต่อไป
“ปลายปี 2564 นี้ บริษัทฯ คาดหวังจากการประมูลงานใหม่ของภาครัฐ เช่นงานทางด่วนพระราม 3 งานรถไฟความเร็วสูง 3 สนามบิน รวมถึงงานเมกะโปรเจกต์มูลค่าสูงและมีแผนชัดเจน เช่นงานรถไฟฟ้าส่วนต่อขยายสายสีม่วง-สีส้ม งานสนามบิน และงานมอเตอร์เวย์ซึ่งจะเป็นงานใหม่ที่ช่วยหนุน Backlog ของบริษัทฯให้มีโอกาสและแนวโน้มที่ดีขึ้น และสามารถรับรู้รายได้ในปี 2565“ นายพิสันติ์ กล่าว
PYLON ลงเสาเข็ม โครงการ The Tree Victory Monument คอนโดมิเนียมสูง 31 ชั้น จำนวน 254 ยูนิต มูลค่า 1,300 ล้านบาท โดยดำเนินการตามมาตรการ 'บับเบิ้ลแอนด์ซีล' ซึ่งมีการฉีดวัคซีนให้กับคนงานแล้ว และมีการคุมเข้มไซต์งานตามมาตรฐานป้องกันโควิด-19 เพื่อความปลอดภัยสูงสุด
โดยบริษัทฯคาดว่าปลายปีนี้เป็นต้นไป งานจะเริ่มกลับเข้าสู่ตลาดในสภาวะปกติแล้ว ที่ผ่านมาบริษัทฯจึงรับงานเพิ่มเข้ามาอย่างต่อเนื่อง บริษัทฯจึงต้องเตรียมความพร้อมด้านแรงงานเพื่อรับงานใหม่ที่เพิ่มมากขึ้น ซึ่งที่ผ่านมาบริษัทฯได้บริหารจัดการและควบคุมสถานการณ์ในแต่ละโครงการก่อสร้างได้เป็นอย่างดีมีการตรวจเช็คพนักงงานอย่างต่อเนื่อง โดยที่ผ่านมาไม่พบพนักงานหรือคนงานติดเชื้อโควิด19 และในตอนนี้พนักงานของบริษัทฯและคนงานได้ฉีดวัคซีนครบ 100 % แล้ว เพื่อเป็นการสร้างความมั่นใจกับพนักงาน พันธมิตร และคู่ค้า อีกด้วย
สำหรับผลประการในปี 2564 นี้ คาดว่าในครึ่งปีหลังจะปรับดีขึ้น จากงานโครงการก่อสร้างที่เริ่มฟื้นตัวกลับมา โดยเฉพาะโครงการภาครัฐที่เริ่มผลักดันออกมาในช่วงปลายปีนี้จนถึงปี 2565 มากขึ้น ส่วนงานโครงการก่อสร้างรถไฟฟ้าเชื่อม 3 สนามบิน ของ บริษัท อิตาเลียนไทย ดีเวล๊อปเม้นต์ จำกัด (มหาชน) หรือ ITD นั้น บริษัทฯ คาดว่าจะเริ่มทำงานภายในปลายปีนี้ ซึ่งงานดังกล่าวมีสัญญาราว 1 ปี คิดรับเหมาค่าแรงอย่างเดียวมูลค่าราวม 400 – 500 ล้านบาท
Pylon มุ่งให้ความสำคัญกับการป้องกันการแพร่ระบาดอย่างเคร่งครัด
“บริษัทฯ ยังคงเตรียมเร่งปรับแผนรับงานใหม่ เนื่องจากมีข้อจำกัดในการเพิ่มกำลังการผลิต หลังหวั่นปัญหาขาดแคลนแรงงานในช่วงปลายปีนี้ จากสถานการณ์โควิด-19 ทำให้แรงงานต่างชาติกลับเข้ามาทำงานที่ไซส์ไม่ได้ ซึ่งบริษัทฯมีงานใหม่ที่เริ่มเข้ามาในช่วงปลายปีนี้เป็นจำนวนมาก จึงทำให้ต้องบริหารทรัพยากรแรงงานที่มีอย่างจำกัดให้เป็นอย่างดีเพื่อไม่ใหกระทบความสัมพันธ์กับคู่ค้าของบริษัทฯต่อไป” นายพิสันติ์ กล่าว ทิ้งท้าย
บริษัท ไพลอน จำกัด (มหาชน) หรือ PYLON ดำเนินธุรกิจรับเหมาก่อสร้างงานฐานราก โดยแบ่งเป็น 3 สายงานหลัก คือ
- งานเสาเข็มเจาะแบบกลม (Circular Bored Pile) เสาเข็มเจาะเป็นเสาเข็มที่นิยมใช้กับการก่อสร้างฐานรากของโครงสร้างขนาดใหญ่ และโครงสร้างอาคารในบริเวณที่มีพื้นที่จำกัด ซึ่งไม่สามารถใช้เสาเข็มตอกได้ เนื่องจากปัญหาด้านการขนส่ง หรือเนื่องจากบริเวณก่อสร้างชิดอาคารข้างเคียงมาก ซึ่งความสั่นสะเทือนจากการตอกเสาเข็มอาจจะก่อให้เกิดความเสียหายกับอาคารข้างเคียงได้ ส่วนการใช้เสาเข็มเจาะจะไม่ทำให้ดินเกิดการเคลื่อนตัวซึ่งอาจไปดันสิ่งปลูกสร้างข้างเคียงให้เสียหายได้เหมือนกับการตอกเสาเข็ม นอกจากนี้เสาเข็มเจาะยังลดมลภาวะเรื่องเสียงและแรงสั่นสะเทือนเมื่อเทียบกับการใช้เสาเข็มตอก ทั้งนี้งานเสาเข็มเจาะของบริษัทโดยส่วนใหญ่จะเป็นเสาเข็มเจาะแบบกลมที่มีขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางตั้งแต่ 50 เซนติเมตรจนถึง 2 เมตร และทำได้ถึงความลึกมากกว่า 80 เมตร ขึ้นอยู่กับการออกแบบกำลังรับน้ำหนักของเสาเข็มโดยวิศวกรและสภาพชั้นดินในแต่ละพื้นที่
- งานปรับปรุงคุณภาพดินโดยวิธีการฉีดซีเมนต์ด้วยแรงดันสูง (Jet Grouting) งานปรับปรุงคุณภาพดิน (Ground Improvement) มีวัตถุประสงค์เพื่อเพิ่มเสถียรภาพให้กับโครงสร้างของดินเดิม ทำให้ดินมีกำลังรับน้ำหนักมากขึ้นและป้องกันการเคลื่อนตัวของดิน โดยบริษัทมีการให้บริการงานประเภทนี้โดยวิธีการอัดฉีดซีเมนต์ด้วยแรงดันสูง (Jet Grouting) ที่ความดันประมาณ 200 ถึง 400 บาร์ โดยอาจแบ่งลักษณะของงานออกเป็นแต่ละประเภท
- งานกำแพงกันดินชนิดไดอะเฟรม/เสาเข็มจาะแบบเหลี่ยม (Diaphragm Wall/ Barrette Pile) เป็นการก่อสร้างกำแพงโดยมีวัตถุประสงค์เพื่อใช้เป็นโครงสร้างรับน้ำหนักและป้องกันการเคลื่อนตัวของดินทางด้านข้าง โดยจะทำการก่อสร้างกำแพงในชั้นที่ต่ำกว่าผิวดินด้วยคอนกรีตเสริมเหล็กคล้ายคลึงกับการทำเสาเข็มเจาะแบบเปียก ซึ่งการใช้เทคโนโลยีในการก่อสร้างกำแพงกันดินชนิดนี้ทำให้ไม่ต้องใช้ Sheet Pile และสามารถสร้างกำแพงกันดินใต้ดินแบบถาวรที่มีหน้าตัดเป็นสี่เหลี่ยมเหมือนกำแพงทั่วไป แต่มีความแข็งแรงและสามารถป้องกันการรั่วซึมของน้ำได้ ซึ่งส่วนใหญ่จะใช้เพื่อเป็นโครงสร้างของชั้นจอดรถใต้ดิน กำแพงอาคารผู้โดยสารสำหรับระบบรถไฟฟ้าใต้ดิน และอุโมงค์ลอดทางแยก เป็นต้น