IM สื่ออุตสาหกรรม เป็นสื่อสร้างสรรค์เพื่อส่งเสริมอุตสาหกรรม มุ่งเน้นนำเสนอข่าวสารด้านบวก ครอบคลุมทุกหมวดหมู่ธุรกิจ ด้วยเจตนารมณ์ที่ต้องการสร้างพื้นที่ให้กลุ่ม SMEs ได้มีที่ยืน ได้มีโอกาสได้ใช้ช่องทางเคียงคู่ไปกับผู้ประกอบการรายใหญ่ เพื่อให้อุตสาหกรรมไทยได้เติบโตไปพร้อมๆ กัน อย่างยั่งยืน
บริษัท สื่ออุตสาหกรรม จำกัด | 02 11 585 22 | [email protected]
นายราจีฟ มังกัล กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ทาทา สตีล (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) (TSTH) เปิดเผยว่าผลการดำเนินงานประจำงบการเงินไตรมาสแรก ปี 2562 (เมษายน –มิถุนายน 2561) ว่า
บริษัทมีปริมาณการขยาย 281,000 ตัน เทียบกับไตรมาสเดียวกันปีงบการเงิน 2561 สูงขึ้นร้อยละ 2 ทั้งนี้ยอดขายสุทธิไตรมาสแรกปีการเงิน 2562 เท่ากับ 5,443 ล้านบาท เทียบกับไตรมาสเดียวกันปีการเงิน 2561 เพิ่มขึ้นร้อยละ 18 สำหรับแนวโน้มการขยายในไตรมาส 2 ปีการเงิน 2562 (กรกฎาคม-กันยายน) และไตรมาสสาม (ตุลาคม-ธันวาคม 2561) เชื่อมั่นว่ายอดขายจะเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง อันเนื่องจากโครงการภาครัฐมีความคืบหน้าในการก่อสร้าง เช่น โครงการรถไฟฟ้า, โครงการขยายสนามบิน เป็นต้น รวมทั้งบริษัทได้ขยายตลาดต่างประเทศเพิ่มขึ้นรองรับช่องว่างของตลาดในประเทศ ทั้งนี้ปกติผลิตภัณฑ์เหล็กของทาทา สตีล ผลิตจำหน่ายในประเทศร้อยละ 90 ส่วนที่เหลือส่งออกขายต่างประเทศ ในแถบเอเชีย เช่น เมียนมา, กัมพูชา, อินโดนีเซีย, อินเดีย เป็นต้น
ปีงบการเงิน 2562 ทั้งปี(เมษายน 2561 – มีนาคม 2561) บริษัทประเมินยอดขายรวมอยู่ที่ 1.25-1.30 ล้านตัน ดูปริมาณขายอาจลดลงเล็กน้อย จากเดิมที่เคยตั้งเป้าไว้ที่ 1.32-1.35 ล้านตัน แต่เชื่อมั่นว่าในส่วนของรายได้ไม่ลดลงเพราะราคาเหล็กทั่วโลกปรับเพิ่มขึ้น ในขณะที่บริษัทบริหารจัดการต้นทุนมีประสิทธิ์ภาพมากขึ้น
นายราจีฟ ย้ำว่า การใช้เหล็กก่อสร้างในไทยเพิ่มมากขึ้นในช่วงเดือนตุลาคมถึงเดือนมีนาคมซึ่งตรงกับครึ่งปีหลังของปีบัญชีของทาทา สตีลฯ ดังนั้นทาง TSTH คาดว่าผลงานงวดบัญชีครึ่งหลังปี 2562 (ต.ค.61-มี.ค.62) ควรดีขึ้นกว่าครึ่งแรกปีบัญชี ส่วนประเด็นสงครามทางการค้าสหรัฐอเมริกาและประเทศจีนนั้นมองว่าไม่ได้มีผลกระทบต่อบริษัทโดยตรง เพราะ บริษัทไม่ได้ส่งสินค้าไปยังประเทศดังกล่าว แต่มีผลกระทบในทางอ้อมต่อวัตถุดิบประเภทเหล็กเศรษฐกิจที่ทำให้ราคาขยับสูงขึ้น เนื่องจากรัฐบาลของสหรัฐอเมริกามีการสนับสนุนอุตสาหกรรมการผลิตเหล็กในประเทศ ทำให้มีความต้องการเศษเหล็กและวัตถุดิบอื่นๆ ในการผลิตเหล็กเพิ่มขึ้น ทำให้ต้นทุนเศษเหล็กและวัตถุดิบสำคัญเช่นแท่งถ่านในการอาร์คไฟฟ้าหลอมเหล็กมีราคาพุ่งขี้นอย่างต่อเนื่อง แต่ถือว่าอยู่ในเกณฑ์ที่ TSTH สามารถบริหารจัดการได้ เพราะสามารถเจรจากับลูกค้าเพื่อสะท้อนต้นทุนที่เพิ่มสูงขึ้นด้วย
ด้านนายชัยเฉลิม บุญญานุวัตร ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ – การตลาดและการขาย บริษัท ทาทา สตีล (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) ได้ชี้ว่า ทาทา สตีล (ประเทศไทย) เน้นกลยุทธ์การผลิตและจำหน่ายเหล็กสร้างมูลค่าเพิ่ม นั่นคือการผลิตและจำหน่ายสินค้าเหล็กนวัตกรรม “3 เซฟ” ด้วย 3 ผลิตภัณฑ์ เหล็กเส้นข้ออ้อยแรงดึงสูง SD50 เหล็กเส้นเหนียวพิเศษต้านแผ่นดินไหว และเหล็กเส้นตัดและดัดสำเร็จรูป (Cut & Bend) ช่วยเซฟต้นทุนการก่อสร้าง เซฟชีวิตให้ปลอดภัย และ เซฟเวลาในการก่อสร้าง เพื่อตอบสนองการลงทุนของภาครัฐ และภาคเอกชน
เซฟที่หนึ่ง Cost save ประหยัดต้นทุน หมายถึงการเลือกใช้เหล็กเส้นข้ออ้อยแรงดึงสูง SD 50 เหล็กเส้นข้ออ้อยแรงดึงสูง SD 50 มีกำลังรับแรงมากกว่าเหล็ก SD 40จึงช่วย เซฟต้นทุนการก่อสร้างเพราะลดปริมาณการใช้เหล็กในการก่อสร้างได้มากกว่า 20% เมื่อเทียบกับเหล็ก SD 40 –ขณะที่ได้ความแข็งแรงเท่ากับ อีกทั้งช่วยเพิ่มตัวเลือกด้านการออกแบบที่หลากหลาย ส่งเสริมการออกแบบอาคารให้ทันสมัยมากขึ้น ทาทา สตีล ผลิตเหล็ก SD 50 ตั้งแต่ขนาด 10 – 40 มิลลิเมตร
เซฟที่สอง Safety เพิ่มความปลอดภัย หมายถึงเหล็กเส้นเหนียวพิเศษต้านแผ่นดินไหว ทาทา ทิสคอน เอส ซุปเปอร์ ดั๊กไทล์ (SD 40 S, SD 50 S) ที่มีคุณสมบัติเหนียวกว่า สามารถดูดซับพลังงานจากแผ่นดินไหวได้มากกว่าเหล็กเส้นเกรดปกติอื่นๆ ช่วยเซฟชีวิต เพิ่มความมั่นใจด้านความปลอดภัยแก่ผู้อยู่อาศัย เหล็กเส้นเหนียวพิเศษต้านแผ่นดินไหวมีคุณสมบัติเทียบเท่ามาตรฐานสากล เช่น BS (อังกฤษ), SS (สิงคโปร์), EC2 (ยุโรป) และ ASTM (สหรัฐอเมริกา)
เซฟทีสาม Time save ประหยัดเวลา หมายถึงการใช้นวัตกรรมเหล็กเส้นตัดและดัดสำเร็จรูป (Cut and Bend)ที่เป็นบริการแบบเบ็ดเสร็จด้วยการตัดและดัดเหล็กสำเร็จรูปตามแบบที่ลูกค้าต้องการ ช่วยเซฟเวลาในการก่อสร้าง ไม่ต้องรอแรงงานตัดและดัดเหล็กที่หน้างาน อีกทั้งยังช่วยลดการสูญเสียเหล็กที่ถูกตัดทิ้งเป็นเศษเหลือใช้โดยเปล่าประโยชน์
ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ – การตลาดและการขาย ทาทา สตีด กล่าวว่า สินค้าเหล็กนวัตกรรม “3 เซฟ” ซึ่งเป็นผลิตภัณฑ์เหล็กสร้างมูลค่าเพิ่มนั้น ตอบสนองการลงทุนโครงสร้างต่างๆ ช่วยให้ผู้รับเหมาโครงการทั้งภาคเอกชนรวมถึงภาครัฐได้ใช้เหล็กคุณภาพมาตรฐานสูง ประหยัดการใช้ทรัพยากร ลดต้นทุนในส่วนของการก่อสร้าง ช่วยในการประหยัดพลังงาน และทำให้เศรษฐกิจโดยรวมดีขึ้น
“บริษัทตั้งเป้าหมายภายในสิ้นปีการเงิน 2562 จะผลักดันยอดขายเหล็กเส้นข้ออ้อยแรงดึงสูง SD 50 เหล็กเส้นเหนียวพิเศษต้านแผ่นดินไหว และเหล็กเส้นตัดและดัดสำเร็จรูป เพิ่มขึ้นรวมเป็น 220,000 ตันหรือประมาณร้อยละ 17 ของปริมาณการขายรวมทั้งหมด”
ที่มา : consmag