IM สื่ออุตสาหกรรม เป็นสื่อสร้างสรรค์เพื่อส่งเสริมอุตสาหกรรม มุ่งเน้นนำเสนอข่าวสารด้านบวก ครอบคลุมทุกหมวดหมู่ธุรกิจ ด้วยเจตนารมณ์ที่ต้องการสร้างพื้นที่ให้กลุ่ม SMEs ได้มีที่ยืน ได้มีโอกาสได้ใช้ช่องทางเคียงคู่ไปกับผู้ประกอบการรายใหญ่ เพื่อให้อุตสาหกรรมไทยได้เติบโตไปพร้อมๆ กัน อย่างยั่งยืน
บริษัท สื่ออุตสาหกรรม จำกัด | 02 11 585 22 | an6n@yahoo.com
นายภาคภูมิ ศรีชำนิ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ซิโน-ไทย เอ็นจีเนียริ่ง แอนด์ คอนสตรัคชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ STEC เปิดเผยถึงผลการดำเนินงานคาดว่าบริษัทฯ จะมีรายได้เติบโต 10%ในปี 2565 นี้ โดย เมื่อเทียบกับปี 2564 ที่มีรายได้ 27,930 ล้านบาท โดยบริษัทฯ สามารถเข้าพื้นที่งานก่อสร้างในโครงการต่างๆ ได้มากขึ้น หลังจากสถานการณ์แพร่ระบาดของโควิด – 19 คลี่คลาย โดยปัจจุบันมีงานในมือ (Backlog) ยังคงอยู่ในระดับ 100,000 ล้านบาท จะทยอยรับรู้รายได้ 3-4 ปี ระหว่างปี 2566-2570 และจากBacklog ที่มีอยู่ในจำนวนมากนี้ จะเป็นปัจจัยสนับสนุนให้ผลการดำเนินงานในปี 2566 บริษัทฯ จะมีรายได้เติบโตมากกว่าปีนี้แน่นอน
ทั้งนี้แม้ภาพรวมรายได้ปีนี้จะมีแนวโน้มเติบโตมากขึ้น แต่ต้นทุนราคาวัสดุก่อสร้างที่ปรับตัวสูงขึ้นเฉลี่ยประมาณ 10-20% นั้น จึงอาจส่งผลกระทบต่อกำไรปีนี้ รวมทั้งตอนนี้ภาวะการขาดแคลนแรงงานเป็นอีกผลกระทบหนึ่งที่ต้องแก้ปัญหา ซึ่งบริษัทฯ จะพยายามนำเข้าแรงงานต่างด้าว แต่ก็ขึ้นอยู่กับนโยบายของภาครัฐว่าจะผ่อนปรนได้มากน้อยแค่ไหน รวมถึงมีการนำเครื่องจักรที่ทันสมัยมาใช้ในการก่อสร้าง ซึ่งในอนาคตก็ต้องเพิ่มเครื่องจักร และการเปิดทำงานล่วงเวลา เพื่อชดเชยการขาดแคลนแรงงาน โดยช่วงครึ่งปีหลังบริษัทจะมีการเข้าไปรับงานภาคเอกชนมากขึ้น อาทิ งานก่อสร้างอาคาร งานขยายโรงงาน ซึ่งจะมีออกมาอย่างต่อเนื่อง ปัจจุบันมีการเจรจาที่จะรับงานเอกชนขนาดใหญ่อยู่ด้วย หากได้รับงานดังกล่าวก็จะสนับสนุนงานในมือให้เพิ่มขึ้น และเป็นกลุ่มงานที่มาร์จิ้นสูงอีกด้วย
คาดว่าสิ้นปีนี้จะสามารถลงนามในสัญญางานใหม่ได้ตามเป้าหมายที่ 4 หมื่นล้านบาท ส่งผลให้มูลค่างานในมือ (Backlog) เพิ่มขึ้นโดยคาดว่าอาจแตะที่ 150,000 ล้านบาทภายในสิ้นปี 2565 นี้
“ปีนี้เรายังคงเป้าหมายการรับงานที่ 4 หมื่นล้านบาท แต่ก็ต้องติดตามงานที่จะออกในช่วงปลายปี เพราะขณะนี้ก็อาจจะมีความล่าช้าไปบ้างในหลายโครงการ แต่เชื่อว่าการรับรู้จะทำได้อย่างน้อยตามเป้าหมายการรับรู้รายได้ หรือไม่ต่ำกว่า 3 หมื่นล้านบาท เพื่อรักษาระดับงานในมือด้วย แต่การรับงานของบริษัทจะเน้นงานที่มีคุณภาพมากขึ้น การรับงานที่มีมาร์จิ้นสูง ที่ผ่านมาบริษัทก็เดินหน้าเรื่องนี้ และพยายามที่จะหาธุรกิจใหม่เข้ามาเสริมด้วย เพื่อกระจายฐานรายได้ เพราะธุรกิจรับเหมาก่อสร้างมีความผันผวน มีปัจจัยกดดันบ้าง” นายภาคภูมิ กล่าว
สำหรับการประมูลงานในปี 2565 นี้ทั้งงานส่วนของภาครัฐ และเอกชน ปัจจุบันมีงานที่บริษัทฯ ชนะการประมูลและได้ลงนามในสัญญางานก่อสร้างเข้ามาเพิ่มแล้วรวมกว่า 20,000 ล้านบาท คาดว่าสิ้นปีนี้จะสามารถลงนามในสัญญางานใหม่ได้ตามเป้าหมายที่ 4 หมื่นล้านบาท ส่งผลให้มูลค่างานในมือ (Backlog) เพิ่มขึ้นโดยคาดว่าอาจแตะที่ 150,000 ล้านบาทภายในสิ้นปี 2565 นี้
โดยบริษัทฯพยายามที่จะปรับตัว ทั้งการลดต้นทุน การใช้อุปกรณ์ที่สำเร็จรูปมากขึ้น การเจรจากับภาคเอกชนถึงสถานการณ์ที่เกิดขึ้น ให้เข้าใจถึงต้นทุนส่วนเพิ่ม ส่วนงานภาครัฐอยากให้มีการพิจารณาในเรื่องของค่า K เป็นต้น นอกจากนี้บริษัทก็จะไม่ได้เข้าไปแข่งขันด้านราคามีการเลือกรับงานที่มีคุณภาพมากขึ้น เน้นงานที่มีมาร์จิ้นสูง และเชื่อว่าสถานการณ์ต่างๆ จะดีขึ้น ตั้งเป้าอัตรากำไรขั้นต้นที่ระดับ 7% จากปัจจุบันระดับ 4% ภายใน 1-2 ปีนี้ รวมไปถึงการหากธุรกิจใหม่เข้ามาเสริมอีกด้วย
ส่วนการประมูลงานโครงการของภาครัฐต้องยอมรับว่าขณะนี้มีความล่าช้าไปบ้าง แต่บริษัทยังสนใจติดตามอยู่หลายโครงการ ทั้งโครงการสัมปทานต่างๆ ของภาครัฐ ทั้ง กรมทางหลวง การทางพิเศษ การประมูลโครงการก่อสร้างระดับใหญ่ของราชการ และการประมูลโครงการรถไฟฟ้า รถไฟรางคู่ เป็นต้น แต่ทั้งนี้การเข้าไปรับงานของบริษัทจะพยายามเข้าไปรับการในส่วนของการบำรุงรักษา (Maintenance) การดูและระบบ เพื่อให้สามารถสร้างรายได้ที่เป็นรายได้ประจำ (Recurring Income) ด้วย เพราะต้องยอมรับว่างานก่อสร้างค่อนข้างมีความผันผวน ทั้งการประมูลโครงการ ต้นทุนการก่อสร้างที่ปรับตัวเพิ่มขึ้น รวมไปถึงต้นทุนค่าแรงงาน ที่ขณะนี้มีการปรับขึ้นค่าแรงขึ้นต่ำในอัตรา 5-8% ซึ่งบริษัทมีแรงงานที่รับอัตราค่าแรงขั้นต่ำกว่า 70% ทำให้ได้รับผลกระทบในส่วนนี้บ้าง แต่การปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำครั้งนี้ไม่ได้อยู่เหนือความคาดหมาย ปรับขึ้นในอัตราที่ยอมรับได้ และก็เข้าในถึงสถานการณ์เรื่องของค่าครองชีพ อัตราเงินเฟ้อ ที่ปรับเพิ่มขึ้นในขณะนี้
“โครงการเมกะโปรเจคในปี 2566 ของภาครัฐนั้น เรามองว่าต้องติดตามการเลือกตั้งสภาผู้แทนราษฎร ว่าพรรคใดจะได้เป็นรัฐบาล ซึ่งการเปลี่ยนรัฐบาลใหม่อาจจะส่งผลต่อการประกวดราคาโครงการให้ล่าช้าออกไปบ้าง แต่เชื่อว่ารัฐยังคงต้องใช้เรื่องการลงทุน เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ ซึ่งตนเชื่อว่ามูลค่าโครงการที่ภาครัฐจะออกมาประกวดราคาในปีหน้าจะไม่น้อยไปกว่าปีนี้ และโดยปกติภาครัฐจะประกาศลงทุนอยู่ในระดับ 5-6 แสนล้านบาทต่อปี” นายภาคภูมิ กล่าวทิ้งทาย
การลงนามในบันทึกข้อตกลงว่าด้วยการใช้ประโยชน์ “สนามบินอู่ตะเภา” กองทัพเรือ และ “สนามบินนานาชาติอู่ตะเภา”
วันที่ 21 กันยายน 2565 ณ ห้องวุฒิไชยเฉลิมลาภ ชั้น 2 อาคารราชนาวิกสภา ถนนอรุณอมรินทร์ เขตบางกอกน้อย กรุงเทพฯ พลเรือเอก สมประสงค์ นิลสมัย ผู้บัญชาการทหารเรือ ผู้แทนจากกองทัพเรือ และคุณคีรี กาญจนพาสน์ ประธานกรรมการบริหาร ผู้แทนจากบริษัท UTA ได้ลงนามในบันทึกข้อตกลงว่าด้วยการใช้ประโยชน์ “สนามบินอู่ตะเภา” กองทัพเรือ และ “สนามบินนานาชาติอู่ตะเภา” ตามโครงการพัฒนาสนามบินอู่ตะเภาและเมืองการบินภาคตะวันออกร่วมกัน (Joint Use Agreement: JUA) ระหว่าง สำนักงานคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (สกพอ.) กับบริษัท อู่ตะเภา อินเตอร์เนชั่นแนล เอวิเอชั่น จำกัด (บริษัท UTA) โดยมี พลเรือเอก ภราดร พวงแก้ว ประธานคณะที่ปรึกษากองทัพเรือ คุณธาริศร์ อิสสระยั่งยืน รองเลขาธิการคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก และคุณภาคภูมิ ศรีชำนิ กรรมการบริหาร ผู้แทนบริษัท UTA ลงนามในบันทึกข้อตกลงฯ เป็นพยาน
ซึ่งในส่วนของบริษัท ซิโน-ไทย เอ็นจีเนียริ่ง แอนด์ คอนสตรัคชั่น จำกัด (มหาชน) โดยมี คุณวรัช กุศลมโนมัย รองกรรมการผู้จัดการสายงานปฏิบัติการ, คุณอรรถสิทธิ์ ศิริสนธิ ผู้จัดการฝ่ายวิศวกรรม, คุณรุ่งโรจน์ นาคนวล ผู้จัดการแผนกสื่อสารองค์กร เข้าร่วมพิธีลงนามฯ
การลงนามในครั้งนี้ เป็นปัจจัยสำคัญที่ช่วยยกระดับความสามารถด้านการแข่งขันของอุตสาหกรรมการบินของประเทศไทย ให้เติบโตขึ้นอย่างมากและเป็นที่รู้จักทั่วโลก ผ่านความร่วมมือระหว่างหน่วยงานภาครัฐและเอกชน นอกจากนี้ยังเป็นการสร้างบรรยากาศการลงทุนที่ดีให้กับภาคเอกชน ทั้งในประเทศและต่างประเทศให้ขยายการลงทุนมาสู่พื้นที่อีอีซี ทำให้เกิดการสร้างรายได้และการพัฒนาเศรษฐกิจอย่างยั่งยืนโดยเฉพาะการเป็น “ศูนย์กลางอุตสาหกรรมท่องเที่ยว และ Logistics & Aviation" รวมถึงการเป็นศูนย์กลางของ “มหานครการบินภาคตะวันออก" เพื่อสานต่อเจตนารมณ์การพัฒนาอีสเทิร์นซีบอร์ดที่ต้องการ ให้เกิดเมืองท่าและเมืองธุรกิจสำคัญของประเทศไทย
ซิโน-ไทย คืนกำไรสู่สังคม
เพื่อเป็นการเฉลิมฉลอง เนื่องในโอกาสครบรอบ 60 ปี บริษัท ซิโน-ไทย เอ็นจีเนียริ่ง แอนด์ คอนสตรัคชั่น จำกัด (มหาชน) ได้จัดพิธีมอบ “อาคารชาญวีรกูลที่ 70” ซึ่งเป็นอาคารเรียนสำหรับเด็กชั้นอนุบาล ขนาด 2 ห้องเรียน 1 โซนห้องน้ำ ให้แก่โรงเรียนดีมากอุปถัมภ์ อ.ไทรน้อย จ.นนทบุรี ภายใต้โครงการ “ซิโน-ไทย คืนกำไรสู่สังคม” โดย คุณภาคภูมิ ศรีชำนิ กรรมการผู้จัดการ เป็นประธานในพิธีมอบ พร้อมด้วย คณะผู้บริหาร และพนักงาน ซึ่งได้รับเกียรติจาก ดร.อรวรรณ แสงสุวรรณ์ ผู้อำนวยการสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษานนทบุรี เขต 2 เป็นตัวแทนรับมอบอาคารฯ นอกจากนี้ยังมอบทุนการศึกษา อุปกรณ์การเรียน และอุปกรณ์กีฬา เพื่อให้ใช้ประโยชน์ในการเรียนการสอน สร้างเด็ก เยาวชน ให้เติบโตอย่างมีคุณภาพต่อไป
คุณภาคภูมิ ศรีชำนิ กรรมการผู้จัดการ เปิดเผยว่า “โครงการ “ซิโน-ไทย คืนกำไรสู่สังคม” ดำเนินการมากว่า 20 ปี มีวัตถุประสงค์เพื่อส่งเสริมการศึกษา เพราะการศึกษาเป็นสิ่งสำคัญ เด็กทุกคนต้องมีโอกาสได้รับการศึกษาอย่างเท่าเทียม บริษัทฯ จึงได้ดำเนินการจัดสร้าง อาคารเรียน อาคารห้องสมุด และอาคารเอนกประสงค์ ในชื่อของ “อาคารชาญวีรกูล” เพื่อมอบให้กับโรงเรียนที่มีความขาดแคลนในถิ่นทุรกันดาร รวมถึงโรงเรียนที่มีความจำเป็นแต่ขาดงบประมาณในการก่อสร้างโดยอาคารหลังแรกที่เราได้จัดสร้างและส่งมอบ เกิดขึ้นในปีพุทธศักราช 2545 ซึ่งเป็นปีที่บริษัทฯ ดำเนินกิจการมาครบรอบ 40 ปี จนถึงปัจจุบันบริษัทฯ ได้ส่งมอบอาคารต่างๆ ไปแล้วทั่วประเทศไทย รวมทั้งสิ้น 69 โรงเรียน และปีนี้เป็นปีที่บริษัทฯ ดำเนินกิจการมาครบ 60 ปี เราจึงได้จัดสร้างอาคารชาญวีรกูลที่ 70 เพื่อมอบให้แก่โรงเรียนดีมากอุปถัมภ์ จ.นนทบุรี ซึ่งถือเป็นความภาคภูมิใจ ที่ได้เป็นส่วนหนึ่งในการส่งเสริมการศึกษาของประเทศไทย”
บริษัทฯ ยังคงมุ่งมั่นดำเนินโครงการ “ซิโน-ไทยฯ คืนกำไรสู่สังคม" อย่างต่อเนื่อง เพื่อส่งเสริมการศึกษาและให้โอกาสแก่เยาวชนไทย ในการพัฒนาสังคมและประเทศชาติในอนาคตต่อไป
“60 ปี ซิโน-ไทย 6 ทศวรรษแห่งรากฐานอันมั่นคง แข็งแกร่ง”