TRC เจรจาพาร์ทเนอร์ต่างประเทศเสริมทัพธุรกิจ Oil & Gas พร้อมเตรียมบุกโซนระยองรับงานใหญ่กลุ่มธุรกิจพลังงาน ปี 2561 ตั้งสำรองเผื่อขาดทุนโครงการเหมืองแร่โปแตชทั้งจำนวน

นายภาสิต ลี้สกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.ทีอาร์ซี คอนสตรัคชั่น (TRC) เปิดเผยว่า แนวโน้มธุรกิจในปีนี้กลุ่มบริษัทมีแผนจะเข้าประมูลงานรับเหมาก่อสร้างธุรกิจน้ำมันและปิโตรเคมีขนาดใหญ่ รวมถึงงานสาธารณูปโภค ซึ่งกลุ่มบริษัทมีความเชี่ยวชาญและได้รับความไว้วางใจจากลูกค้ามาโดยตลอด โดยปัจจุบันกำลังเจรจาความร่วมมือทางธุรกิจด้านพลังงานกับพาร์ทเนอร์ต่างประเทศ เพื่อมาเพิ่มศักยภาพในธุรกิจหลักของบริษัท ด้าน Oil & Gas ในการเตรียมความพร้อมที่จะรุกตลาดทั้งในประเทศและต่างประเทศ อาทิ ประเทศเวียดนามและเมียนมา

"ปี 62 นี้เราจะมุ่งเป้าไปที่โซนระยอง ซึ่งมีงานขนาดใหญ่ของธุรกิจพลังงานอยู่ เช่น งานปรับปรุงคุณภาพของน้ำมันและก๊าซ ธุรกิจด้านการประหยัดพลังงานให้กับโรงงานอุตสาหกรรม (Energy Saving) ซึ่งกลุ่มเป้าหมาย คือ กลุ่มปตท., ไทยออยล์ รวมถึงไออาร์พีซี ซึ่งจะมีงานใหญ่ประเภทนี้ออกมาค่อนข้างมาก ซึ่งเรามีความถนัดและเชี่ยวชาญอยู่แล้ว" นายภาสิต กล่าว
ส่วนธุรกิจด้านนวัตกรรมใหม่นั้น จะมุ่งสู่งานการจัดการคลังสินค้าอัจฉริยะ หรือสมาร์ทแวร์เฮ้าส์ (Smart Warehouse) หรือ Automated Storage and Retrieval System (AS/RS) ซึ่งขณะนี้บริษัทย่อย คือ บริษัท สหการวิศวกร จำกัด
นายภาสิต กล่าวอีกว่า บริษัท สหการวิศวกร จำกัด ได้งานของ กลุ่มบมจ.ปตท. (PTT) เข้ามาไว้ในมือแล้ว 1 โครงการ มูลค่างาน 600 ล้านบาท โดยปัจจุบันสมาร์ทแวร์เฮ้าส์ถือว่าเป็นธุรกิจที่กระแสตอบรับดีมาก มั่นใจว่าในอนาคตกลุ่มธุรกิจขนาดใหญ่จะหันมาใช้บริการสมาร์ทแวร์เฮ้าส์มากขึ้น ซึ่งนับเป็นโอกาสทางธุรกิจของบริษัทที่จะสร้างรายได้ในงานส่วนนี้

ขณะที่ผลประกอบการปี 61 ถือได้เป็นปีทองของ บจก.สหการวิศวกร ที่ได้รับการเลื่อนชั้นเป็นผู้รับเหมาชั้นพิเศษจากรมทางหลวง และสามารถชนะการประมูลโครงการขนาดใหญ่อย่างต่อเนื่อง อาทิ โครงการก่อสร้างสะพานข้ามแยก ณ ระนอง มูลค่า 1,524 ล้านบาท โครงการถนนคลองสามวา มูลค่า 172 ล้านบาท โครงการก่อสร้างศูนย์กระจายสินค้าผลิตภัณฑ์หล่อลื่นจากบมจ.ปตท. น้ำมันและการค้าปลีก (PTTOR) มูลค่า 600 ล้านบาท และเมื่อเดือน ม.ค.ที่ผ่านมาสามารถได้รับงานโครงการเปลี่ยนระบบสายไฟฟ้าอากาศเป็นสายไฟฟ้าใต้ดิน โครงการรัชดาภิเษก-อโศก จากกรุงเทพมหานคร มูลค่า 2,205 ล้านบาท
ขณะที่ในต้นเดือน มี.ค.จะมีการลงนามในสัญญาก่อสร้างงานถนนอีก 1 งาน มูลค่า 560 ล้านบาท ส่งผลให้ ณ สิ้นปี 61 ถึงปัจจุบัน ทั้งกลุ่ม TRC มีงานในมือรวม 7,233 ล้านบาท และตั้งเป้าหมายเข้าประมูลงานในปีนี้ประมาณ 15,000-20,000 ล้านบาท


อาเซียนโปแตชชัยภูมิ ดำเนินกิจการผลิตปุ๋ย โดยมีโรงงานอยู่ที่จังหวัดชัยภูมิ
ส่วนผลประกอบการปี 61 กลุ่ม TRC มีรายได้ ค่าบริการก่อสร้าง 2,257 ล้านบาท ใกล้เคียงกับปีก่อนที่อยู่ที่ 2,370 ล้านบาท และมีผลขาดทุนสุทธิ 2,041 ล้านบาท สาเหตุหลักคือริษัทได้ตัดสินใจตั้งสำรอง และรับรู้ค่าใช้จ่ายรายการที่เกี่ยวข้องกับบริษัทร่วมที่กลุ่มบริษัทถือหุ้นอยู่ 25.13% ใน บมจ.อาเซียนโปแตชชัยภูมิ (APOT) ทั้งหมดจำนวนรวม 2,094 ล้านบาท ประกอบด้วยการบันทึกขาดทุนจากการด้อยค่าเงินลงทุน หนี้สูญและค่าเผื่อหนี้สงสัยจะสูญ การปรับรายการค่าใช้จ่ายและภาระต่าง ๆ เข้าเป็นต้นทุนค่าบริการก่อสร้าง
แต่อย่างไรก็ตาม ขาดทุนดังกล่าวเป็นการบันทึกขาดทุนทางบัญชี ไม่มีผลกระทบกับกระแสเงินสดของบริษัทแต่อย่างใด ซึ่งหากตัดรายการสำรองและค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวข้องกับ APOT ข้างต้นออก ผลการดำเนินงานปี 61 ของกลุ่มบริษัท จะปรากฏเป็นกำไรสุทธิ 53 ล้านบาท

ทั้งนี้ การตั้งสำรองและรับรู้ค่าใช้จ่ายทั้งหมดดังกล่าวในปี 61 จะทำให้บริษัทจะไม่ต้องรับรู้ผลขาดทุนของ APOT เข้ามาในผลประกอบการรวมอีกต่อไป เป็นการลดความเสี่ยงต่อความผันผวนของผลการดำเนินงานของกลุ่มบริษัท จากการที่ในระหว่างปี 59-60 ต้องรับภาระรับรู้ผลขาดทุนของ APOT ในงบการเงินรวม นอกจากนั้นแล้ว หากโครงการ APOT มีความชัดเจนในการพัฒนาโครงการต่อ ได้รับการสนับสนุนทางการเงินจากผู้ถือหุ้นและ/หรือจากสถาบันการเงิน ทำให้ได้คืนมาซึ่งมูลค่าของเงินลงทุน บริษัทก็จะสามารถกลับรายการสำรองเผื่อขาดทุนที่เกินความจำเป็น และรับรู้กำไรในอนาคตเพื่อชดเชยขาดทุนจากการตั้งสำรองในปี 61