บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด จัดอันดับเครดิตหุ้นกู้ บมจ. ยูนิค เอ็นจิเนียริ่ง แอนด์ คอนสตรัคชั่น (UNIQ) วงเงินไม่เกิน 5 พันลบ.ที่ระดับ BBB/Stable

บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด คงอันดับเครดิตองค์กรของ บมจ. ยูนิค เอ็นจิเนียริ่ง แอนด์ คอนสตรัคชั่น (UNIQ) ที่ระดับ "BBB+" พร้อมทั้งจัดอันดับเครดิตหุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกันชุดใหม่ในวงเงินไม่เกิน 5,000 ล้านบาทของบริษัทที่ระดับ "BBB" โดยอันดับเครดิตของหุ้นกู้ที่ต่ำกว่าอันดับเครดิตองค์กรอยู่ 1 ขั้นดังกล่าวสะท้อนถึงอัตราส่วนหนี้สินที่มีหลักประกันต่อสินทรัพย์รวมของบริษัทที่อยู่สูงกว่าระดับ 20% ตามเกณฑ์การจัดอันดับเครดิตของทริสเรทติ้ง ในการนี้ บริษัทจะนำเงินที่ได้รับจากการออกหุ้นกู้ดังกล่าวไปใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนและชำระหนี้
อันดับเครดิตที่ดี สะท้อนถึงมูลค่างานในมือจำนวนมาก ตลอดจนความสามารถในการทำกำไรที่แข็งแกร่ง และผลงานก่อสร้างโครงการโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่ที่เพิ่มขึ้นของบริษัท
อย่างไรก็ตาม ความแข็งแกร่งดังกล่าวถูกลดทอนบางส่วนจากความเสี่ยงจากการกระจุกตัวของธุรกิจ ตลอดจนการเพิ่มขึ้นของระดับการก่อหนี้ และความเสี่ยงของธุรกิจรับเหมาก่อสร้างที่เป็นวงจรขึ้นลงและมีการแข่งขันสูง

ผลการดำเนินงานของบริษัทในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2561 เป็นไปตามคาดการณ์ของทริสเรทติ้ง โดยรายได้จากการดำเนินงานของบริษัททรงตัวที่ประมาณ 9,000 ล้านบาท ในขณะที่อัตรากำไรจากการดำเนินงาน (อัตราส่วนกำไรจากการดำเนินงานก่อนค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจำหน่ายต่อรายได้) ยังคงแข็งแกร่งที่ระดับ 23.3% ทริสเรทติ้งคาดการณ์ว่ารายได้จากการดำเนินงานของบริษัทจะเพิ่มขึ้นถึงระดับ 17,000 ล้านบาทในปี 2563 จากระดับ 12,000 ล้านบาทในปี 2561 จากแรงสนับสนุนของมูลค่างานในมือมูลค่าที่สูงถึง 34,000 ล้านบาท อัตรากำไรจากการดำเนินงานอาจลดลงเล็กน้อยจากระดับปัจจุบันเนื่องจากบริษัทจะรับรู้อัตรากำไรที่ค่อนข้างต่ำจากงานส่วนที่เหลือของโครงการรถไฟฟ้าสายสีแดง (บางซื่อ-รังสิต)

หนี้ของบริษัทเพิ่มสูงขึ้นเมื่อเร็ว ๆ นี้เนื่องจากบริษัทรับงานที่มีขนาดใหญ่ขึ้น โดยอัตราส่วนหนี้สินทางการเงินต่อเงินทุนของบริษัทเพิ่มขึ้นเป็น 52% ณ เดือนกันยายน 2561 จาก 23.1% ในปี 2555 ทริสเรทติ้งคาดว่าอัตราส่วนดังกล่าวน่าจะยังอยู่ที่ประมาณ 50% ในช่วง 3 ปีข้างหน้า ในขณะที่เงินทุนจากการดำเนินงานคาดว่าจะอยู่ที่ 1,400-2,000 ล้านบาทต่อปี ซึ่งน่าจะเพียงพอสำหรับรองรับหนี้ระยะยาวที่จะครบกำหนดในช่วงหลายปีข้างหน้าจำนวนปีละ 500-900 ล้านบาท
ข้อกำหนดสำคัญของหุ้นกู้ระบุให้บริษัทต้องดำรงอัตราส่วนหนี้สินสุทธิต่อทุนไม่ให้เกิน 3.5 เท่า ซึ่ง ณ เดือนกันยายน 2561 อัตราส่วนดังกล่าวอยู่ที่ 1.1 เท่า ดังนั้น จึงถือว่าบริษัทสามารถปฏิบัติได้ตามข้อกำหนด

แนวโน้มอันดับเครดิต
แนวโน้มอันดับเครดิต "Stable" หรือ "คงที่" สะท้อนความคาดหวังของทริสเรทติ้งว่าบริษัทจะยังคงรักษาความสามารถในการแข่งขันในโครงการภาครัฐต่อไปได้ นอกจากนี้ ยังคาดว่าอัตรากำไรของบริษัทก็จะยังคงแข็งแกร่งและการก่อหนี้จะยังคงอยู่ในระดับใกล้เคียงกับระดับปัจจุบัน

ปัจจัยที่อาจทำให้อันดับเครดิตเปลี่ยนแปลง
การปรับเพิ่มอันดับเครดิตอาจเกิดขึ้นได้หากบริษัทสามารถเพิ่มฐานรายได้ให้มากขึ้นอย่างมีนัยสำคัญและกระจายฐานลูกค้าได้มากขึ้นในขณะที่ยังคงรักษากำไรให้แข็งแกร่งรวมถึงควบคุมระดับการก่อหนี้ได้ ในทางตรงกันข้าม อันดับเครดิตและ/หรือแนวโน้มอันดับเครดิตอาจปรับลดลงได้หากสถานะทางการเงินของบริษัทด้อยลงอย่างมากซึ่งอาจเป็นผลมาจากความล่าช้าของโครงการ หรือต้นทุนในการก่อสร้างที่สูงกว่าคาด หรือการจัดการด้านเงินทุนหมุนเวียนที่ไม่มีประสิทธิภาพจนทำให้อัตรากำไรจากการดำเนินงานลดลงต่ำกว่า 12% หรืออัตราส่วนหนี้สินทางการเงินต่อเงินทุนเพิ่มขึ้นสูงกว่า 60%
