IM สื่ออุตสาหกรรม เป็นสื่อสร้างสรรค์เพื่อส่งเสริมอุตสาหกรรม มุ่งเน้นนำเสนอข่าวสารด้านบวก ครอบคลุมทุกหมวดหมู่ธุรกิจ ด้วยเจตนารมณ์ที่ต้องการสร้างพื้นที่ให้กลุ่ม SMEs ได้มีที่ยืน ได้มีโอกาสได้ใช้ช่องทางเคียงคู่ไปกับผู้ประกอบการรายใหญ่ เพื่อให้อุตสาหกรรมไทยได้เติบโตไปพร้อมๆ กัน อย่างยั่งยืน
บริษัท สื่ออุตสาหกรรม จำกัด | 02 11 585 22 | [email protected]
นางสาวปิยจิต รักอริยะพงศ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เซ็ปเป้ จำกัด (มหาชน) หรือ SAPPE บริษัทได้วางแผนยุทธศาสตร์ 5 ปีต่อจากนี้(ปี2565-2569) ตั้งเป้าหมายรายได้จากการดำเนินธุรกิจเติบโต 3 เท่า (Triple Growth) เพื่อแตะ 10,000 ล้านบาท ภายใต้การเติบโตจากธุรกิจในส่วนต่างๆ ที่ขยายตัวต่อเนื่อง ทั้งจากการเติบโตของตลาดต่างประเทศ (International Business) ซึ่งตั้งเป้าการเติบโตเฉลี่ย 15-20% ผ่านการขยายช่องทางการจัดจำหน่ายให้ครอบคลุมมากขึ้น โดยปัจจุบันบริษัทได้จำหน่ายสินค้าใน 98 ประเทศทั่วโลก มีสัดส่วนรายได้จากการส่งออกปี 2564 ที่ผ่านมาคิดเป็น 65% ของรายได้ ส่งผลให้ทุกภูมิภาคเติบโตอย่างก้าวกระโดด จากคำสั่งซื้อซ้ำเข้ามาอย่างต่อเนื่อง อาทิ ทวีปยุโรป ทวีปเอเชีย ตะวันออกกลาง และทวีปอเมริก และกลุ่มประเทศที่สร้างผลรายได้เป็นอย่างดี คือ เกาหลีใต้ ฝรั่งเศส ฟิลิปปินส์ อินโดนีเซีย
นอกจากนี้ในทุกภูมิภาคอื่นๆ บริษัทฯยังสามารถขยายการกระจายสินค้าไปได้อีกเป็นจำนวนมาก และได้เริ่มขยายฐานลูกค้าในทวีปยุโรป เข้าสู่ช่องทางหลักอย่างห้างค้าปลีก (Modern Trade) ได้เพิ่มมากขึ้น ด้วยการทำตลาดแบบ O2O (Online to Offline Marketing) ส่งผลให้ผลิตภัณฑ์ของเซ็ปเป้ ได้รับการตอบรับสูง และเข้าถึงผู้บริโภคในวงกว้างมากขึ้นอีกด้วย
โดยปัจจุบันบริษัทได้จำหน่ายสินค้าใน 98 ประเทศทั่วโลก มีสัดส่วนรายได้จากการส่งออกปี 2564 ที่ผ่านมาคิดเป็น 65% ของรายได้ ส่งผลให้ทุกภูมิภาคเติบโตอย่างก้าวกระโดด
สำหรับตลาดในประเทศ (Domestic Market) ตั้งเป้าการเติบโตเฉลี่ย 10% โดยแบ่งเป็น 2 แบบ คือ ‘Current World’ เซ็ปเป้ยังคงเดินหน้าวิจัยและพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่เป็นนวัตกรรมใหม่ๆ รวมถึงขยายช่องทางจัดจำหน่ายให้มีศักยภาพร่วมกับพันธมิตร ทั้งร้านค้าแบบดั้งเดิม (Traditional Trade) และร้านค้าปลีกสมัยใหม่ (Modern Trade) พร้อมพัฒนาและปรับปรุงผลิตภัณฑ์ที่มีอยู่เดิมให้เข้าถึงกลุ่มผู้บริโภคมากขึ้น และ ‘New World’ เร่งสร้างช่องทางการเติบโตใหม่ๆ โดยเฉพาะช่องทางออนไลน์ ให้เข้าถึงกลุ่มผู้บริโภคในหลาย Segment มากขึ้น
รวมถึงเน้นสร้างการเติบโตจากออลโคโค่ (All Coco) ตั้งเป้าหมายมีรายได้จาก All Coco จาก 316 ล้านบาทเป็น 800 ล้านบาทใน 5 ปีข้างหน้า ด้วยการขยายจุดขายสินค้าทั่วโลก All Coco จากปัจจุบัน 4,500 POS ให้ได้มากกว่า 20,000 POS อีกทั้งยังมีแผนเพิ่มผลผลิตจาก Owners' Farms และเครือข่ายฟาร์มให้เพียงพอต่อความต้องการในอนาคต นอกจากนี้ยังมองหาโอกาสในสร้างการเติบโตจากการ M&A เซ็ปเป้ให้ความสำคัญกับการเพิ่ม New Category New Channel และ Innovation เพื่อสร้างการเติบโตในทุกมิติร่วมกับพันธมิตรที่มีความเชี่ยวชาญ ทั้งในและต่างประเทศ
ปัจจุบันบริษัทฯ มีกำลังการผลิตอยู่ที่ราว 140,000 ตันต่อปี ซึ่งตอนนี้อยู่ระหว่างการศึกษาและเจรจาดีล M&A ในต่างประเทศราว 2-3 ดีล หวังสนับสนุนการเติบโตของธุรกิจในอนาคตอีกทางหนึ่ง คาดว่าจะได้ความชัดเจนในปี 2565 นี้ จึงระหว่างการศึกษาขยายกำลังการผลิต โดยอาจเป็นการลงทุนสร้างโรงงานแห่งใหม่ ซึ่งจะใช้เงินลงทุนไม่ต่ำกว่า 1,000 ล้านบาท สำหรับแผนการลงทุนในครั้งนี้
ล่าสุดเปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่ "บิวติ ชอท สติกซ์ (Beauti Shot Stix)" ชอทเข้มข้นที่มาในรูปแบบซองดูดรายแรกของไทย สไตล์เกาหลี ด้วยนวัตกรรมสุดล้ำ 2 สูตร คือสูตร “คอลลา-ซี” เพื่อผิวสวยกระจ่างใสแบบเข้มข้น และสูตร “อิมมู-ซี” เสริมภูมิด้วยวิตามินจากที่สุดของตระกูลเบอร์รี่ จัดเต็มคุณประโยชน์ทุกซอง พกพาง่าย คุ้มค่า คุ้มราคา เพียงแค่ ‘ฉีกซอง’ ก็พร้อม ‘ดูด’ ดื่ม ความสวยสุขภาพดี แบบเข้มข้น เอาใจคนรุ่นใหม่ พร้อมสู้ศึก Functional Drink เมืองไทยที่กำลังจะกลับมาคึกคัก พร้อมวางเป้ายอดขายปีแรก 100 ล้านบาท จำหน่ายแล้ววันนี้เป็นต้นไป ผ่านร้านสะดวกซื้อ 7-11 ทั่วประเทศ ในราคา 15 บาท
"กระแสการห่วงใยสุขภาพได้กลายเป็นเมกะเทรนด์ (Mega Trend) ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา จนกระทั่งในปัจจุบันกลุ่มผู้บริโภคก็ยังคงให้ความสำคัญกับการดูแลตัวเอง ทั้งเรื่องความสวยงามและสุขภาพอย่างต่อเนื่อง ทำให้ภาพรวมตลาด Functional Drink ซึ่งรวมทั้ง กลุ่ม Casual Healthy Drink และ Healthy Shot ยังคงเติบโต ตอกย้ำการเป็นกลุ่มสินค้าที่มีศักยภาพ ด้วยจุดเด่นของ Functional Drink คือประโยชน์ที่มาพร้อมกับความง่ายและอร่อยถูกปาก ซึ่งสามารถตอบโจทย์ อินไซต์ของคนรุ่นใหม่ได้เป็นอย่างดี" นางสาวปิยจิต กล่าว
ด้าน นายชินวิทย์ เลิศบรรณพงษ์ นักลงทุนสัมพันธ์ บริษัท เซ็ปเป้ จำกัด (มหาชน) หรือ SAPPE เปิดเผย เพิ่มเติม ว่า สำหรับค่าเงินบาทที่ปรับตัวอ่อนค่าในขณะนี้ก็เป็นผลต่อภาพรวมธุรกิจ เพราะบริษัทมีสัดส่วนการส่งออกกว่า 70% แต่ทั้งนี้บริษัทก็อาจจะได้รับผลกระทบในส่วนของวัตถุดิบที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นบ้าง ดังนั้นการที่ค่าเงินบาทอ่อนค่าก็สามารถเข้ามาช่วยชดเชยต้นทุนวัตถุดิบที่ปรับตัวเพิ่มขึ้น ทั้งนี้ปีนี้คาดว่าสัดส่วนการส่งออกของบริษัทคาด่าจะไม่ต่ำกว่า 70% หรือทำได้ราว 71-72% โดยตลาดต่างประเทศมีการฟื้นตัวขึ้นอย่างมาก โดยเฉพาะตลาดเอเชียที่เติบโตขึ้นทั้งในเกาหลี ฟิลิปปินส์ ส่วนตลาดสหรัฐและยุโรปก็ยอดขายที่ดีขึ้นเช่นเดียวกัน
ด้านผลประกอบการไตรมาส 2/2565 มองว่าจะเติบโตต่อเนื่องจากไตรมาส 1/2565 โดยทั้งปี 2565 บริษัทยังมั่นใจว่ารายได้จะเติบโต 15% จากปีก่อนที่ 3.44 พันล้านบาท เพราะธุรกิจมีการทำตลาดลูกค้าใหม่ๆ อย่างต่อเนื่อง รวมถึงการออกสินค้าใหม่ๆ ในช่วงครึ่งปีหลัง ในหลายกลุ่ม อาทิ กลุ่ม Functional Drink ที่มีแนวโน้มการเติบโตอย่างมาก ส่วนกลุ่มเครื่องดื่มกัญชง-กัญชา อยู่ระหว่างการพัฒนาสินค้าคาดว่าจะเห็นความชัดเจนในช่วงไตรมาส 3/2565 นี้ อย่างไรก็ดี บริษัทมองว่าอุตสาหกรรมเครื่องดื่มน่าจะฟื้นตัวได้ต่อเนื่อง และบริษัทเองก็มีการเติบโตสอดคล้องกับอุตสาหกรรมเครื่องดื่ม ขณะเดียวบริษัทยังวางแผนเพิ่มกำลังการผลิตในช่วงปี 2568 เพื่อรองรับการเติบโตของบริษัทในระยะยาวต่อไป