IM สื่ออุตสาหกรรม เป็นสื่อสร้างสรรค์เพื่อส่งเสริมอุตสาหกรรม มุ่งเน้นนำเสนอข่าวสารด้านบวก ครอบคลุมทุกหมวดหมู่ธุรกิจ ด้วยเจตนารมณ์ที่ต้องการสร้างพื้นที่ให้กลุ่ม SMEs ได้มีที่ยืน ได้มีโอกาสได้ใช้ช่องทางเคียงคู่ไปกับผู้ประกอบการรายใหญ่ เพื่อให้อุตสาหกรรมไทยได้เติบโตไปพร้อมๆ กัน อย่างยั่งยืน
บริษัท สื่ออุตสาหกรรม จำกัด | 02 11 585 22 | an6n@yahoo.com
นายวินัย เตียวสมบูรณ์กิจ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ไทยฟู้ดส์ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน)
นายวินัย เตียวสมบูรณ์กิจ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ไทยฟู้ดส์ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ TFG เปิดเผยถึงผลการดำเนินงานของบริษัทฯ ว่า ในปี 2565 ที่ผ่านมา บริษัทฯ มีรายได้รวม 52,697 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 48% จาก 35,503 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิ 4,722 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 741% จาก 562 ล้านบาท ในงวดเดียวกันจากปีก่อน จากความต้องการบริโภคหมูและไก่ที่เพิ่มขึ้น หลังสถานการณ์โควิด-19 ที่ทำให้ทั่วโลกคลายล็อกดาวน์ รวมถึงราคาสินค้าที่ขยับสูงขึ้น ส่งผลยอดขายที่เติบโตขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยแผนการดำเนินงานในปี 2566 นี้ บริษัทฯตั้งเป้าหมายรายได้เติบโต 15% ซึ่งได้เตรียมขยายตลาดลูกค้ากลุ่มใหม่ๆ ทั้งในและต่างประเทศ เพื่อเพิ่มยอดขาย รวมถึงโมเดลธุรกิจในส่วนของธุรกิจค้าปลีกที่จะกลายเป็นอีกแรงสนับสนุนให้ภาพรวมเป็นไปตามแผนงานที่วางไว้อีกด้วย
ธุรกิจไก่และหมูของบริษัทฯ ในปีนี้ยังเติบโตได้ดีอย่างต่อเนื่อง จากปัญหาการขาดแคลน ซึ่งทำให้แนวโน้มราคาหมูและไก่จะสูงขึ้น อีกทั้งยังได้รับปัจจัยหนุนจากจากการขยายกำลังการเลี้ยงหมูในไทย และเวียดนามที่เพิ่มขึ้น และเน้นขายไก่ไปสู่ช่องทางที่มีมูลค่าเพิ่มมากขึ้น
โดยทิศทางการลงทุนในปี 2566 นี้ TFG จะให้ความสำคัญกับการขยายฐานธุรกิจค้าปลีกภายใต้แบรนด์ "ร้านไทย ฟู้ดส์ เฟรช มาร์เก็ต" มากขึ้น เพื่อเพิ่มมาร์จิ้น โดยมีแผนเปิดสาขาใหม่เพิ่มเป็น 400 สาขาภายในปีนี้ จากเดิม 220 สาขา เพื่อรองรับความต้องการลูกค้าให้ครอบคลุมมากยิ่งขึ้น รวมถึงได้เตรียมงบลงทุนประมาณรวม 3,000-3,500 ล้านบาท เพื่อรองรับแผนขยายโรงงานผลิตอาหารสัตว์และฟาร์มเลี้ยงหมูในประเทศเวียดนาม เพื่อเสริมศักยภาพธุรกิจฟาร์มเลี้ยงไก่ในประเทศเวียดนาม รวมถึงการขยายสาขาในส่วนของธุรกิจค้าปลีก ตลอดจนปรับปรุงธุรกิจในส่วนต่างๆ เสริมศักยภาพของการดำเนินงานให้ดียิ่งขึ้นต่อไป
“ธุรกิจไก่และหมูของบริษัทฯ ในปีนี้ยังเติบโตได้ดีอย่างต่อเนื่อง จากปัญหาการขาดแคลน ซึ่งทำให้แนวโน้มราคาหมูและไก่จะสูงขึ้น อีกทั้งยังได้รับปัจจัยหนุนจากจากการขยายกำลังการเลี้ยงหมูในไทย และเวียดนามที่เพิ่มขึ้น และเน้นขายไก่ไปสู่ช่องทางที่มีมูลค่าเพิ่มมากขึ้น โดยเฉพาะช่องทางการส่งออกไก่สู่ต่างประเทศ สนับสนุนให้รายได้รวม และประสิทธิภาพการทำกำไรดีของ TFG เติบโตอย่างต่อเนื่อง”
นายเพชร นันทวิสัย (คนกลาง) ประธานเจ้าหน้าที่ปฏิบัติการ บริษัท ไทยฟู้ดส์ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน)
ด้าน นายเพชร นันทวิสัย ประธานเจ้าหน้าที่ปฏิบัติการ บริษัท ไทยฟู้ดส์ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ TFG เปิดเผยเพิ่มเติมว่า ภายหลังที่รัฐบาลจีนได้อนุมัติการเดินทางออกนอกประเทศในรูปแบบหมู่คณะหรือกรุ๊ปทัวร์ ส่งผลให้มีนักท่องเที่ยวจากประเทศจีน เดินทางเข้ามาเป็นจำนวนมากขึ้น ส่งผลเป็นปัจจัยบวกต่อธุรกิจของ TFG อย่างชัดเจน เนื่องจากจะช่วยส่งผลต่อคำสั่งซื้อ ทั้งในส่วนของผู้ประกอบการเกี่ยวกับอาหาร และร้านอาหารในประเทศเพิ่มขึ้น รวมถึงผลักดันให้ยอดขายในส่วนอื่นๆ ของบริษัทมีอัตราการขยายตัวอย่างต่อเนื่อง สอดคล้องกับทิศทางการลงทุนในปีนี้ของ TFG ที่จะขยายสาขาธุรกิจค้าปลีก (รีเทล) “ร้านไทยฟู้ดส์ เฟรช มาร์เก็ต” จำหน่ายไก่-หมู สด เพื่อผลักดันให้สัดส่วนรายได้จากธุรกิจรีเทลล์ขยับเพิ่มเป็น 20% ในสิ้นปี 2566 ตลอดจนสนับสนุนให้อัตรากำไรขั้นต้น (มาร์จิ้น) เฉลี่ยโดยรวมขยับเพิ่มในระยะยาวอีกทางหนึ่งด้วย
ภายหลังที่รัฐบาลจีนได้อนุมัติการเดินทางออกนอกประเทศในรูปแบบหมู่คณะหรือกรุ๊ปทัวร์ ส่งผลให้มีนักท่องเที่ยวจากประเทศจีน เดินทางเข้ามาเป็นจำนวนมากขึ้น ส่งผลเป็นปัจจัยบวกต่อธุรกิจของ TFG อย่างชัดเจน เนื่องจากจะช่วยส่งผลต่อคำสั่งซื้อ
“ในปี 2565 ที่ผ่านมา เราได้ขยายเพิ่มไปแล้ว 220 สาขา ซึ่งแนวโน้มปี 2566 มีแนวทางเปิดขยายสาขาใหม่เพิ่มขึ้นอีก 180 สาขา ทำให้ภายในสิ้นปีนี้จะมีสาขารวมทั้งหมด 400 สาขา คาดว่าจะเสร็จช่วงสิ้นปี 2566 รวมถึงการขยายสาขาในส่วนของธุรกิจรีเทล อีกทั้งคาดว่ามาร์เก็ตแชร์ตอนนี้เพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ระดับ 8% จากเมื่อก่อนอยู่ที่ 4%”
ทั้งนี้ส่วนแนวโน้มผลการดำเนินงานปี 2566 บริษัทตั้งเป้ารายได้เติบโตประมาณ 15-20% เมื่อเทียบกับปี 2565 เนื่องจากธุรกิจมีการทำตลาดลูกค้ากลุ่มใหม่ๆ เพิ่มเติม ส่งผลให้ยอดขายผลิตภัณฑ์ของบริษัทขยายตัวมากขึ้น นอกเหนือจากโมเดลธุรกิจในส่วนของธุรกิจค้าปลีกที่เติบโตได้ดียิ่งขึ้น ตลอดจน บรรยากาศทางเศรษฐกิจในประเทศมีแนวโน้มที่จะปรับตัวดีขึ้นหลังสถานการณ์โควิด-19 คลี่คลายอีกด้วย รวมถึงมีการเปิดประเทศ ส่งผลให้ธุรกิจท่องเที่ยวและอื่นๆ เริ่มกลับมาฟื้นตัว คาดว่าภาพรวมรายได้ปี 2566 จะโตที่ประมาณ 45,000 ล้านบาท
ทั้งนี้ TFG คาดว่าหลังจากนี้ ราคาวัตถุดิบจะค่อยๆ ปรับตัวลดลงมา บริษัทฯ จึงเตรียมควบคุมต้นทุนให้ลดลง ซี่งราคาเนื้อหมูตอนนี้ยังต่ำอยู่ จึงต้องเพิ่มปริมาณหมูให้ได้ประมาณ 17 ล้านตัว พร้อมขยายหมูให้มีมาร์จิ้นดีขึ้น รวมถึงเตรียมขยายการส่งออกไปยังประเทศที่มีศักยภาพ โดยจะขยายโรงงานผลิตอาหารสัตว์ และธุรกิจฟาร์มเลี้ยงหมูและไก่ในประเทศเวียดนาม เพื่อสร้างศักยภาพในการเติบโตอย่างแข็งแกร่งต่อไป
TFG ตั้งเป้าขยายร้าน THAI FOODS Fresh Market เพิ่มเป็น 380-400 สาขาภายในปี 2566 นี้
ด้านตลาดทุน ทางบล.เคจีไอ (ประเทศไทย) ยังคงคําแนะนําซื้อหุ้น TFG โดยมีราคาเป้าหมายปี 2566F ที่ 7.30 บาท ทั้งนี้มองแนวโน้มกําไรปีนี้ของ TFG แบบระมัดระวังมากขึ้น และคาดว่ากําไรสุทธิในไตรมาส 1/66 จะลดลงเมื่อเทียบจากไตรมาสก่อน เนื่องจากราคาหมูลดลงมาก ในขณะที่ต้นทุนอาหารสัตว์ยังคงเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ซึ่งน่าจะส่งผลกระทบอย่างมีนัยสําคัญต่อ GPM โดยมองว่าสมมติฐาน GPM ของบล.เคจีไอ (ประเทศไทย) ที่ 18.4% และประมาณการกําไรสุทธิของบล.เคจีไอ (ประเทศไทย) ที่ 5.05 พันล้านบาทยังมี downside อีก แต่อย่างไรก็ตาม คิดว่าแผนการขยายกิจการของ TFG น่าจะช่วยสนับสนุนให้รายได้เพิ่มขึ้น โดยบริษัทมีแผนจะเพิ่มกําลังการผลิตหมู และขยายสาขาร้านขายปลีกเพิ่มเป็น 380-400 ร้านสาขา ซึ่งสูงกว่าสมมติฐานแบบอนุรักษ์นิยมของฝ่ายวิจัยฯ ที่ 350 ร้าน นอกจากนี้ TFG ยังประกาศจ่ายเงินปันผล 0.30 บาท/หุ้น คิดเป็นอัตราผลตอบแทนที่ 5.5% โดยมีกำหนดขึ้น XD วันที่ 3 พฤษภาคม 2566