IM สื่ออุตสาหกรรม เป็นสื่อสร้างสรรค์เพื่อส่งเสริมอุตสาหกรรม มุ่งเน้นนำเสนอข่าวสารด้านบวก ครอบคลุมทุกหมวดหมู่ธุรกิจ ด้วยเจตนารมณ์ที่ต้องการสร้างพื้นที่ให้กลุ่ม SMEs ได้มีที่ยืน ได้มีโอกาสได้ใช้ช่องทางเคียงคู่ไปกับผู้ประกอบการรายใหญ่ เพื่อให้อุตสาหกรรมไทยได้เติบโตไปพร้อมๆ กัน อย่างยั่งยืน
บริษัท สื่ออุตสาหกรรม จำกัด | 02 11 585 22 | [email protected]
บรรดาผู้เชี่ยวชาญหลายฝ่ายมองตรงกันว่า ปีนี้จะเป็นศักราชแห่งชีวิตยุคดิจิตอลที่จะก้าวไปอีกขั้น เทคโนโลยีเหล่านี้จะรุดหน้าและได้รับการเติมเต็มขีดความสามารถจนถึงขั้นที่ทำให้มนุษย์นั้นได้รับความสะดวกสบายมากถึงขั้นที่อาจน่าเป็นห่วง การเผยแพร่ข้อมูลข่าวสารที่ฉับไว และความเป็นส่วนตัวที่น้อยลง รวมไปถึงอันตรายจากโลกไซเบอร์ที่บรรดาผู้ใช้ทุกคนจำเป็นต้องตระหนักและรู้เท่าทัน เว็บไซต์ อินฟอร์เมชั่น–เมเนจเมนต์ ของสหรัฐอเมริกา และเว็บไซต์การ์ตเนอร์ ได้จับตาเทคโนโลยีพลิกโลกที่น่าจับตามองที่สุด เราได้รวบรวมมาให้ผู้อ่านได้ทราบกัน ดังนี้
1.อินเตอร์เน็ตในทุกสิ่ง IOT
อินเตอร์เน็ตจะเป็นเครือข่ายข้อมูลกลางที่แทรกซึมไปในทุกสรรพสิ่งที่ มนุษย์ใช้ในชีวิตประจำวัน ไม่ใช่เพียงแต่สมาร์ตโฟน แท็บเล็ต และคอมพิวเตอร์ แต่จะรวมไปถึงเฟอร์นิเจอร์ต่างๆ ในบ้าน อาทิ ตู้เย็นไมโครเวฟ โทรทัศน์ ยวดยานพาหนะ หรือแม้แต่ไฟส่องสว่างในบ้าน
เทคโนโลยีเหล่านี้จะได้รับการพัฒนาขีดความสามารถและแพร่หลายมากขึ้นตามครัวเรือนทั่วไป นำไปสู่การแบ่งปันข้อมูลกันระหว่างสิ่งของอัจฉริยะเหล่านี้ ทำให้ชีวิตของมนุษย์นั้น รายล้อมไปด้วยข้อมูลที่จะถูกตรวจจับและจัดเก็บมากขึ้น อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
คาดว่า ไอโอทีจะส่งผลให้มีสิ่งของอัจฉริยะเชื่อมต่อกับอินเตอร์เน็ตทะลุ 75,000 ล้านชิ้น ภายในเวลาไม่เกิน 3 ปี
2.บล็อกเชน
ความก้าวหน้าของเทคโนโลยีจะนำมาซึ่งความเสี่ยงทางโลกไซเบอร์แบบใหม่ ทำให้ระบบการจัดเก็บข้อมูลและการรักษาความปลอดภัยต้องยกระดับไปด้วย หนึ่งในนั้นเป็นเทคโนโลยีบล็อกเชน ที่มีการกระจายสำเนาข้อมูลไปยังผู้ใช้ ทุกคนแบบเรียลไทม์ ทำให้นักเจาะระบบเจาะข้อมูลได้ยากขึ้น โดยเทคโนโลยีนี้ถูกนำมาใช้แล้วในระบบธุรกรรมบางส่วน และสกุลเงินออนไลน์ชื่อดังต่างๆ
ในปีนี้ บล็อกเชนจะมีธนาคารและองค์กรต่างๆ นำไปประยุกต์ใช้อย่างแพร่หลายกว่าปีที่ถัดมา
3.ปัญญาประดิษฐ์ AI
ระบบปัญญาประดิษฐ์ หรือเอไอ ที่บรรดายักษ์ใหญ่ในอุตสาหกรรมไอทีต่างแข่งขันกันพัฒนานั้นจะเริ่มมีขีดความสามารถเหนือมนุษย์ ไม่ว่าจะเป็นดีพ มายด์ และกูเกิล แอสซิสแทนต์ ของค่ายกูเกิล อเล็กซา ของอะเมซอน สิริ ของแอปเปิ้ล คอร์ทาน่า ของไมโครซอฟท์ และอีกหลากหลายค่าย ซึ่งพัฒนาตัวเองได้จากการเรียนรู้พฤติกรรมของมนุษย์ผู้ใช้งาน เนื่องจากข้อมูลที่มากขึ้น ประสิทธิภาพของคอมพิวเตอร์ที่สูงขึ้นส่งผลให้เอไอเหล่านี้ทำงานได้ไวและแม่นยำมากขึ้นไปอีก
ส่งผลให้นักพัฒนาซอฟต์แวร์พัฒนาแอพพลิเคชั่นที่มีความซับซ้อนได้ง่ายขึ้นอีก นำไปสู่การเปิดประสบการณ์การใช้งานที่ซับซ้อนของผู้ใช้ได้ในปีนี้
4.เทคโนโลยีการสื่อสาร 5 จี
ประสิทธิภาพของเทคโนโลยีข้างต้นทำให้ต้องใช้แพล็ตฟอร์มเครือข่ายการสื่อสารที่มีขีดความสามารถสูงขึ้น ปีนี้จะเป็นการมาถึงของเครือข่ายการสื่อสารและผลิตภัณฑ์อุปกรณ์สื่อสารที่สนับสนุน 5 จี ซึ่งจะทำให้การส่งและรับข้อมูลไร้สายมีความเร็วสูง และสร้างเสถียรภาพให้กับไอโอที มีความเร็ว สูงกว่า 4 จีร้อยละ 15-50 มีเอกชนยักษ์ใหญ่เป็นผู้ผลักดัน
อาทิ ซัมซุงจากเกาหลีใต้ หัวเว่ยจากจีน อีริกส์สันจากสหรัฐอเมริกา และชาร์ปจากญี่ปุ่น (เรียงตามลำดับปริมาณสิทธิบัตรทางเทคโนโลยี 5 จี)
5.อักเมนต์–เวอร์ชวล เรียลลิตี้
ปฏิสัมพันธ์แบบใหม่ระหว่างมนุษย์กับเทคโนโลยีจะแพร่หลายมากขึ้น โดยเฉพาะระบบอักเมนต์ เรียลลิตี้หรือเออาร์ ซึ่งเป็นการสร้างภาพกราฟิกแทรกเข้ามาในสภาพแวดล้อมจริง และเวอร์ชวล เรียลลิตี้ หรือ วีอาร์ ซึ่งเป็นการจำลองสภาพแวดล้อมใหม่ทับของเดิม ทั้งสองเทคโนโลยีนี้จะมีความสมจริงมากขึ้น และทำงานได้รวดเร็ว ผลิตภัณฑ์ตัวอย่าง ได้แก่ แว่นตาไมโครซอฟท์ โฮโลเลนส์ ที่เป็นระบบเออาร์ นอกจากนี้เออาร์ยังนำไปใช้ในที่อื่นๆ ได้อีก อาทิ กระจกรถยนต์ หน้าต่างอาคาร
ขณะที่วีอาร์นั้นเน้นไปทางด้านเพื่อความบันเทิง ไม่ว่าจะเป็น แว่นซัมซุงเกียร์ วีอาร์ แว่นพีเอส วีอาร์ ของเครื่องเพลย์ สเตชั่น เอชทีซี ไวฟ์ และออคูลัส ริฟต์
6.หุ่นโดรนและจักรกลสงคราม
โดรนบังคับและอัตโนมัติจะมีราคาถูกลง และแพร่หลายมากขึ้น รวมทั้งมีความสามารถมากขึ้นทั้งในภาคครัวเรือนและภาคอุตสาหกรรมไปจนถึงระดับรัฐบาลและกองทัพ สะท้อนจากการเร่งพัฒนาหุ่นยนต์ของบรรดาชาติมหาอำนาจในโลก จะก่อให้เกิดธุรกิจแบบใหม่ โดยเฉพาะในด้านการขนส่ง รวมถึงอาชญากรรมรูปแบบใหม่ นำไปสู่การจัดระเบียบสังคมในหลายประเทศ
ขณะที่การพัฒนาจักรกลเพื่อการทำสงครามจะเป็นประเด็นปัญหาที่ได้รับการถกเถียงอย่างหนักในเวทีสหประชาชาติ
หลังจีนจัดตั้งโครงการผลิตนักศึกษาที่จะเติบโตไปเป็นนักวิทยาศาสตร์รุ่นแรกเพื่อพัฒนาหุ่นรบและเอไอสงครามครั้งแรกของโลก ส่วนสหรัฐนั้นมีโครงการวิจัยและพัฒนาแล้ว แต่ยังไม่มีการสร้างบุคลากรรุ่นใหม่ทางด้านวิทยาศาสตร์
7.การพิมพ์สามมิติ
การพิมพ์แบบ 3 มิติ หรือ ทรีดี พรินติ้ง จะมีผู้ใช้งานอย่างแพร่หลายมากขึ้นทางในระดับอุตสาหกรรมและภาคครัวเรือน ไม่ว่าจะเป็นข้าวของเครื่องใช้ ไปจนถึงส่วนประกอบเครื่อง จักรกล และอาหาร เพื่อแก้ไขปัญหาต้นทุนการผลิต ซึ่งถือ เป็นหนึ่งในเทคโนโลยีที่จะส่งผลต่ออัตราการเจริญเติบโต ของเอกชนและของประเทศทั่วโลก
เพราะนอกจากมีคุณภาพ สะดวกรวดเร็ว ยังประหยัดวัตถุดิบ ทำให้ประหยัดต้นทุน และง่ายต่อการผสมดัดแปลงผลลัพธ์ เนื่องจากใช้ระบบคอมพิวเตอร์ในการจัดการ
8.ไบโอเมตทริกซ์
ข้อมูลอัตลักษณ์บุคคลจะถูกจัดเก็บมากขึ้นเพื่อใช้ในการยืนยันสิทธิการเข้าถึงการใช้งาน หรือข้อมูลต่างๆรวมถึงบริการทั่วไปในภาคครัวเรือน ในจำนวนนี้ รวมถึงข้อมูลเสียงซึ่ง ถูกจัดเก็บโดยเอไอของกูเกิ้ล โดยจากผลการศึกษาพบว่า ผู้ใช้สมาร์ตโฟนในสหรัฐกว่าครึ่งชื่นชอบการใช้เสียงสั่งการ
และการใช้งานผ่านอัตลักษณ์บุคคลในด้านการรักษาความปลอดภัยข้อมูลไม่ว่าจะเป็นลายนิ้วมือ ม่านตาใบหน้า และเสียง การแพร่หลายของเทคโนโลยีดังกล่าวจะทำให้มนุษย์ยุคใหม่ ที่เกิดมานั้นต้องพึ่งพาเทคโนโลยีเหล่านี้ด้วย
เริ่มตั้งแต่การจัดเก็บข้อมูลสูติบัตรที่รัฐจะเริ่มเข้ามามีส่วนจัดระเบียบในบางประเทศ
9.ระบบทำงานแบบอัตโนมัติ
เทคโนโลยีที่จะรุดหน้าไปอย่างรวดเร็วในปีนี้ จะส่งผล ให้มีระบบคอมพิวเตอร์เข้ามาทำงานอัตโนมัติแทนมนุษย์มากขึ้น อาทิ เครื่องจักรกลในโรงงาน หุ่นยนต์ และเครื่องมืออิเล็กทรอนิกส์ ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อ
หลากหลายสาขาอาชีพ โดยเฉพาะอาชีพแรงงานที่ต้องทำงานซ้ำๆ แบบรูทีน เนื่องจากการเข้ามาแทนที่มนุษย์ของเครื่องจักรกลอัจฉริยะเหล่านี้ เพราะการใช้เครื่องจักรกลแทนมนุษย์นั้นง่ายกับนายจ้างมากกว่าโดยผลการศึกษาในสหรัฐอเมริกาพบว่า อาจส่งผลกระทบต่ออัตราการจ้างงานสูงถึงร้อยละ 50
เทรนด์นี้จะมีแนวโน้มแบบเดียวกันทุกแห่งทั่วโลก
10.ควอนตัมคอมพิวเตอร์
การสิ้นสุดกฎของมัวร์ นำมาซึ่งอวสานของ รูปแบบการพัฒนาฮาร์ดแวร์ประมวลผลในคอมพิวเตอร์กำหนดว่าปริมาณของทรานซิสเตอร์บนวงจรรวมจะเพิ่มเป็นเท่าตัวประมาณทุกๆ สองปี ทว่าสถาปัตยกรรมการผลิตที่ล่าสุดถึงระดับ 7 นาโนเมตรแล้วนั้นทำให้บรรดาผู้พัฒนาเข้าใกล้จุดที่อนุภาคอิเล็กตรอนมีพฤติกรรมที่ไม่เป็นไปตามศาสตร์ของฟิสิกส์ปกติ เนื่องจากที่ระดับดังกล่าวเป็นระดับ “ควอนตัม” ซึ่งบรรดานักวิทยาศาสตร์ต่างกำลังเร่งพัฒนาและเรียนรู้ศาสตร์ในระดับดังกล่าว
D-Wave 2000Q คอมพิวเตอร์ควอนตัมรุ่นล่าสุดของดี-เวฟ คำนวณได้ถึง 2,000 qubit ราคา 540 ล้านบาท ถือว่าแรงและแพงกว่าเครื่องรุ่นที่ 2 ของบริษัทอย่าง D-Wave Two ที่มีเพียง 500 qubit เท่านั้น
ในปีนี้ คอมพิวเตอร์ควอนตัมจะเข้าใกล้รูปแบบที่จะมาปฏิวัติระบบคอมพิวเตอร์ได้ ซึ่งจะทำให้คอมพิวเตอร์มีประสิทธิภาพการทำงานเพิ่มแบบก้าวกระโดด ยกตัวอย่าง การทดสอบคอมพิวเตอร์ควอนตัม ดี เวฟ 2 (D-Wave Two) ของกูเกิ้ลและองค์การบริหารการบินและอวกาศสหรัฐ หรือ นาซ่า พบว่ามีประสิทธิภาพสูงกว่าซูเปอร์คอมพิวเตอร์ที่ ทันสมัยที่สุดปัจจุบันถึง 3,600 เท่าและคอมพิวเตอร์ทั่วไปประมาณ 100 ล้านเท่า
ทำให้แก้ปัญหาที่ซับซ้อนได้ภายในระยะเวลาไม่กี่วินาที