ปิยะดิษฐ์ อัศวศิริสุข

จึงคาดการณ์ว่าตัวเลขในปีนี้ธุรกิจการก่อสร้างจะมีมูลค่าประมาณ 8-9% ของผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (GDP) ของประเทศ ซึ่งหากสามารถสร้างความแข็งแกร่งให้ผู้ประกอบการ ของไทยมีความพร้อมก็เชื่อว่าจะทำให้ความสามารถในการแข่งขันของประเทศดีขึ้น

ทั้งนี้ในส่วนของโครงการสำคัญที่จะเป็นงานในมือ หรือ Backlog ตัวหลักให้กับผู้ประกอบการและบริษัทก่อสร้างยักษ์ใหญ่นั้นได้แก่ งานพัฒนาพื้นที่ระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออก (EEC) ซึ่งเริ่มทยอยเปิดประมูลไปแล้วเช่น โครงการรถไฟฟ้าความเร็วสูงเชื่อม 3 สนามบิน วงเงินประมาณ 215,000 ล้านบาท, โครงการท่าเรือแหลมฉบังระยะที่ 3 วงเงินประมาณ 80,000 ล้านบาท และโครงการพัฒนาเมืองการบินอู่ตะเภา รวมถึงโครงการลงทุนถนนในพื้นที่เพื่อรองรับโลจิสติกส์ โดยเชื่อว่าจะมีการลงนามสัญญาเพื่อรับงานก่อสร้างกันในปีนี้ และรัฐบาลชุดใหม่ที่เข้ามาน่าจะสานต่อนโยบายขับเคลื่อนแผนลงทุนต่อไป

อย่างไรก็ตาม ในปีนี้ยังมีโครงการใหญ่อีกหลายโครงการทยอยเปิดประมูลให้ภาคการก่อสร้างได้แข่งขันกัน เช่น โครงการรถไฟความเร็ว สูงไทย-จีนช่วงกรุงเทพฯ-นครราชสีมา วงเงินค่างานโยธา 125,000 ล้านบาท, โครงการรถไฟทางคู่ระยะที่ 2 อีก 8 เส้นทาง วงเงินรวมกว่า 300,000 ล้านบาท, งานก่อสร้างทางด่วนช่วงพระรามสาม- ดาวคะนอง วงเงิน 30,000 ล้านบาท, งานก่อสร้างโครงการรถไฟฟ้าสายสีส้มตะวันตกช่วงศูนย์วัฒนธรรมบางขุนนนท์ และสายสีม่วงใต้ช่วงเตาปูน-ราษฎร์บูรณะ วงเงิน 200,000 ล้านบาท รวมถึงงานก่อสร้างรถไฟฟ้าภูมิภาคใน 3 จังหวัดใหญ่ มูลค่าลงทุนกว่าแสนล้านบาท

นอกจากนี้ในส่วนของความคืบหน้าของการดำเนินงานโครงการรถไฟความเร็วสูงกรุงเทพฯ-หนองคาย ระยะที่ 1 ช่วงกรุงเทพฯ-นครราชสีมา สัญญาที่ 2-1 งานโยธาช่วงสีคิ้วกุดจิก วงเงินประมาณ 3,300 ล้านบาทนั้น ซึ่งจะลงนามสัญญาในเดือนกุมภาพันธ์ ก่อนเริ่มเข้าพื้นที่ก่อสร้างในเดือนมิถุนายนนี้ ส่วนการประมูล ที่เหลืออีกมากกว่า 10 สัญญา นั้น คาดว่าการรถไฟแห่งประเทศไทย (ร.ฟ.ท.) จะเร่งเปิดประมูลภายใน 1-2 เดือนนี้ ขณะที่โครงการมอเตอร์เวย์บางปะอิน-นครราชสีมา นั้น คาดว่าในช่วงตอนที่ 30 จะสามารถส่งงานงวดสุดท้ายได้ภายในเดือนหน้าตาม กรอบสัญญา 8-9 เดือน