IM สื่ออุตสาหกรรม เป็นสื่อสร้างสรรค์เพื่อส่งเสริมอุตสาหกรรม มุ่งเน้นนำเสนอข่าวสารด้านบวก ครอบคลุมทุกหมวดหมู่ธุรกิจ ด้วยเจตนารมณ์ที่ต้องการสร้างพื้นที่ให้กลุ่ม SMEs ได้มีที่ยืน ได้มีโอกาสได้ใช้ช่องทางเคียงคู่ไปกับผู้ประกอบการรายใหญ่ เพื่อให้อุตสาหกรรมไทยได้เติบโตไปพร้อมๆ กัน อย่างยั่งยืน
บริษัท สื่ออุตสาหกรรม จำกัด | 02 11 585 22 | an6n@yahoo.com
นายธีระชัย ประสิทธิ์รัตนพร กรรมการผู้จัดการ บริษัท ธีระมงคล อุตสาหกรรม จำกัด (มหาชน) หรือ TMI เปิดเผยว่า ในขณะนี้บริษัทยังมองหาโครงการใหม่อย่างต่อเนื่อง เพื่อเริ่มต้นธุรกิจพลังงาน และเป็นการช่วยสนับสนุนผลการดำเนินงานในอนาคตให้มีการเติบโตอย่างแข็งแกร่ง อย่างไรก็ตามบริษัทยังต้องพิจารณาอัตราผลตอบแทน(IRR) ควบคู่ไปด้วย
โดยก่อนหน้านี้บริษัทได้มีการให้ บริษัท ธีระมงคล กรีน เอนเนอร์ยี จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทย่อย เข้าลงทุนซื้อหุ้น 100% ในบริษัท กรีน เซฟวิ่ง เอนเนอร์ยี่ ไทยแลนด์ จำกัด ซึ่งดำเนินโครงการโรงไฟฟ้าก๊าซชีวภาพ ขนาด 1.4 เมกะวัตต์ (MW) ใน จ.ชุมพร มูลค่ารวมประมาณ 79.99 ล้านบาทแล้ว หลังตรวจสอบมูลค่าสินทรัพย์ (Due Diligence) เห็นว่าเหมาะสม โดยคาดว่าจะเริ่มทยอยรับรู้รายได้ตั้งแต่ไตรมาส3/61 และการลงทุนครั้งนี้จะช่วยต่อยอดธุรกิจ เพิ่มโอกาสทางธุรกิจด้านพลังงาน เพื่อการเติบโตทางธุรกิจอย่างมั่นคงในอนาคต
ทั้งนี้เมื่อวันที่ 31 ส.ค. 2561 การ Due Diligence เพื่อเข้าทำรายการซื้อหุ้นกิจการ บริษัท กรีน เซฟวิ่ง เอนเนอร์ยี่ ไทยแลนด์ จำกัด ได้ดำเนินการเสร็จสิ้นเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
และบริษัทได้ทำการจ่ายชำระเงินค่าหุ้นทั้งหมดเป็นที่เรียบร้อยแล้ว โดยภายหลังจากการเข้าทำ Due Diligence ผู้ขายได้เสนอส่วนลดให้กับทาง บริษัท ธีระมงคล กรีน เอนเนอร์ยี จำกัด เป็นจำนวน 5 ล้านบาท ทำให้จำนวนเงินลดลงเหลือประมาณ 79.99 ล้านบาท จากเดิมประมาณ 84.99 ล้านบาท
อีกทั้งบริษัทมีแหล่งเงินทุนในการลงทุนดังกล่าว มาจากเงินทุนหมุนเวียนของ บริษัท ธีระมงคล กรีน เอนเนอร์ยี จำกัด จำนวน 5 ล้านบาท และเงินกู้ยืมจากบริษัทประมาณ 74.99 ล้านบาท โดยมีระยะเวลาเงินกู้ 10 ปี สำหรับเงื่อนไขการกู้ยืนเงิน อยู่ระหว่างการพิจารณาร่วมกันระหว่างบริษัท และบริษัทย่อย
สำหรับในปัจจุบัน บริษัท กรีน เซฟวิ่ง เอนเนอร์ยี่ ไทยแลนด์ จำกัด ซึ่งดำเนินโครงการโรงไฟฟ้าก๊าซชีวภาพ ขนาด 1.4 เมกะวัตต์ ได้ทำสัญญาซื้อขายไฟฟ้ากับการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (กฟภ.) เป็นสัญญาซื้อขายไฟฟ้าในระบบ Feed-in Tariff โดยมีราคาขายไฟฟ้า Feed-in Tariff (Fix) ที่ 3.76 บาทต่อหน่วย และ Feed-in Tariff (Premium) ที่ 0.50 บาทต่อหน่วย รวมได้รับราคาขายไฟฟ้าทั้งสิ้น 4.26 บาทต่อหน่วย มีอายุสัญญา 20 ปี เริ่มต้นตั้งแต่วันที่ 20 เม.ย. 2558 และจะสิ้นสุดในวันที่ 19 เม.ย. 2578 และดำเนินการผลิตกระแสไฟฟ้าให้กับการไฟฟ้าส่วนภูมิภาคมาตั้งแต่เดือน เม.ย. 2558 จนถึงปัจจุบัน โดยสัญญาซื้อขายไฟฟ้า สิ้นสุด ณ วันที่ 19 เม.ย. 2578 จึงเหลืออายุสัญญา 17 ปีโดยประมาณ
"ปีนี้เรามองว่าเป็นปีแห่งการลงทุนของบริษัท ทำให้เราเดินหน้าเข้าไปในธุรกิจพลังงาน ซึ่งหลังจากได้โรงไฟฟ้าก๊าซชีวภาพ ขนาด 1.4 เมกะวัตต์มาแล้ว และเรายังมองหาโครงการใหม่อย่างต่อเนื่อง เพื่อช่วยส่งเสริมการเติบโตในอนาคต แต่ก็ต้องดู IRR ควบคู่กับการลงทุนไปด้วย เพื่อสร้างผลการตอบแทนที่ดีให้กับผู้ถือหุ้น"นายธีระชัย กล่าว