December 03, 2024

UBE เดินหน้าลงทุนตั้งเป้ารายได้สู่ 7,000 ล้าน เชื่อมั่นพลังงานสะอาด ซื้อกิจการ 'อุบลแสงอาทิตย์'

บริษัท อุบล ไบโอ เอทานอล จำกัด (มหาชน) ตั้งเป้ารายได้ 7,000 ล้าน เปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่ “แป้งฟลาวมันสำปะหลัง” เตรียมลงทุนเพิ่ม 800 ล้าน ขยายกำลังผลิตแป้งฟลาวมันสำปะหลังเป็น 300 ตันต่อวัน ปิดดีลซื้อกิจการ บจ. อุบลแสงอาทิตย์ รุกธุรกิจโซลาร์เซลล์ลอยน้ำ

นายเดชพนต์ เลิศสุวรรณโรจน์  กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท อุบล ไบโอ เอทานอล จำกัด (มหาชน) หรือ UBE เปิดเผยว่า สำหรับแผนการดำเนินงานนับจากนี้บริษัทฯได้ปรับสัดส่วนรายได้กลุ่มสินค้ามันสำปะหลัง และอาหารเพิ่มขึ้นเป้น 50% ด้วยการเปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่คือ “แป้งฟลาวมันสำปะหลัง” เน้นตลาดคนรักสุขภาพเพื่อเสริมรายได้กลุ่มแป้งมัน และอาหารแตะระดับ 70% ในอนาคต จากรายได้หลักที่มาจากธุรกิจเอทานอล รองลงมาคือกลุ่มสินค้าแป้งมันสำปะหลัง แต่ในช่วงไม่กี่ปีให้หลังที่ผ่านมา กลุ่มสินค้ามันสำปะหลังและเกษตรออร์แกนิคกลับเป็นสินค้าที่เติบโตด้านรายได้ขึ้นมาอย่างโดดเด่น โดยได้ตั้งเป้ารายได้ไม่ต่ำกว่า 7,000 ล้านบาท

ฟลาวมันสำปะหลัง ตรา Tasuko และ Savvy ผลิตจากหัวมันสำปะหลังออร์แกนิค 100% ผ่านการคัดสรรวัตถุดิบคุณภาพดี โดยทีมงานผู้เชี่ยวชาญ ฟลาวมันสำปะหลังปราศจากกลูเตน (Gluten Free) สามารถใช้ประกอบอาหาร และผลิตภัณฑ์เบเกอรีได้หลายชนิดเช่นเดียวกับแป้งสาลี

ทั้งนี้บริษัทเป็นผู้ผลิตและส่งออกสินค้าแป้งมันสำปะหลังออร์แกนิคที่มีมาร์เก็ตแชร์เป็นอันดับ 1 ของโลก โดยส่งออกไปยังตลาดหลักอย่างสหรัฐ ยุโรป จีน ญี่ปุ่น และเกาหลี และจากความได้เปรียบในการเป็นเจ้าตลาดแป้งมันสำปะหลังออร์แกนิค ทำให้บริษัทฯได้ต่อยอดพัฒนาสินค้าออกมาเพื่อเจาะตลาดอาหารสุขภาพ ซึ่งในช่วงการแพร่ระบาดของโควิด-19ที่ผ่านมา ทำให้ทิศทางของผู้บริโภคหันมาสนใจดูแลสุขภาพมากยิ่งขึ้น รวมทั้งเทรนด์กระแสสุขภาพที่มาแรงมาก ผลักดันให้มูลค่าตลาดออร์แกนิคในปัจจุบันอยู่ในระดับหลักแสนล้านบาท และเติบโตในตัวเลข 2 หลักตลอดทุกปี จึงเป็นเหตุผลสำคัญที่บริษัทหันมาเน้น และให้ความสนใจที่จะนำกลุ่มสินค้าออร์แกนิคเข้าสู่ตลาดอย่างต่อเนื่อง 

แต่ในช่วงไม่กี่ปีให้หลังที่ผ่านมา กลุ่มสินค้ามันสำปะหลังและเกษตรออร์แกนิคกลับเป็นสินค้าที่เติบโตด้านรายได้ขึ้นมาอย่างโดดเด่น โดยได้ตั้งเป้ารายได้ไม่ต่ำกว่า 7,000 ล้านบาท

ที่ผ่านมาบริษัทฯได้เริ่มทำตลาดและได้รับการตอบรับอย่างดีจากกลุ่มลูกค้าฝั่งตะวันตกเป็นอย่างมาก ซึ่งทำให้ทางบริษัทเตรียมแผนที่จะนำสินค้าตัวนี้เจาะตลาดอาหารสุขภาพโลก เนื่องจากบริษัทฯมีตลาด-ลูกค้าที่รองรับอยู่ทั่วโลก สะท้อนผ่านจากสัดส่วนมาร์เก็ตแชร์ในตลาดแป้งออร์แกนิคเป็นอันดับ 1 ของโลกถึง 60%   และในอนาคตทางบริษัทฯได้เตรียมเดินหน้ารุกธุรกิจเกษตรอินทรีย์ชนิดอื่นๆ ล่าสุดได้เริ่มปลูกกาแฟในพื้นที่สปป.ลาว 700 ไร่ โดยวางเป้าอนาคตอาจจะไปถึงระดับ 1 หมื่นไร่ รวมถึงกำลังศึกษาการปลูกข้าวอินทรีย์อีกด้วย หลังจากที่ได้ระดมทุนในตลาดหุ้น บริษัทเตรียมนำเงินระดมทุนส่วนใหญ่ จะนำมาใช้ในกลุ่มธุรกิจเกษตร และอาหารเป็นสำคัญ

โดยเตรียมงบการลงทุนเพิ่มประมาณ 800 ล้านบาท เพื่อขยายกำลังการผลิตแป้งฟลาวมันสำปะหลังเป็น 300 ตันต่อวัน นอกจากนี้ยังได้เพิ่มสายการผลิต ผลิตภัณฑ์สารให้ความหวาน ซึ่งเป็นผลิตภัณฑ์ที่ได้จากการแปรรูปมันสำปะหลังออร์แกนิคที่มีมูลค่าสูง โดยกำลังผลิต 300 ตันต่อวัน รวมถึงปรับปรุงกระบวนการผลิตแป้งมันสำปะหลัง เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ และลดต้นทุนในการผลิต  อีกทั้งเตรียมก่อสร้างโรงสีเชอร์รี กาแฟออร์แกนิคในแขวงสาละวัน สปป.ลาว ซึ่งสามารถรองรับวัตถุดิบเชอร์รีกาแฟได้ 200 ตันต่อวัน และมีแผนก่อสร้างโรงคั่วกาแฟออร์แกนิค โดยโครงการดังกล่าว ภายในปี 2565-2566  ทั้งนี้แม้ธุรกิจในอนาคตทางบริษัทฯจะวางแป้งฟลาวเป็นเรือธงใหม่ แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้อยู่ดีว่าเรือธงปัจจุบันอย่างเอทานอลก็ยังคงเป็นรายได้หลัก โดยเอทานอลในเกรดอุตสาหกรรมที่ได้รับความนิยมอย่างสูงในช่วงการระบาดของโควิด-19 ส่งผลให้สัดส่วนมาร์จินของเอทานอลเกรดอุตสาหกรรมล่าสุดพุ่งขึ้นและมีแนวโน้มเติบโตอย่างต่อเนื่อง

ทั้งนี้บริษัทฯ ได้บริหารจัดการของเสียครบวงจร โดยนำของเสียจากกระบวนการผลิตของ 2 โรงงาน ได้แก่ บริษัท อุบล ซันฟลาวเวอร์ จำกัด ซึ่งเป็นโรงงานผลิตแป้งมันสำปะหลัง และของบริษัท อุบล ไบโอ เอทานอล จำกัด (มหาชน) โรงงานผลิตเอทานอลเกรดเชื้อเพลิง  99.8% และเกรดอุตสาหกรรมสำหรับทำความสะอาดมือ 70 % โดยน้ำเสียและกากมันจากโรงงานผลิตแป้งมัน จะถูกลำเลียงสู่ระบบบำบัดน้ำเสียด้วยจุลินทรีย์ ในถังซีเมนต์แบบไร้อากาศขนาดใหญ่ ส่วนกากมันถูกส่งบ่อหมักแบบ CLBR  (Covered Lagoon Bio Reactor)ซึ่งเป็นระบบบ่อหมักกาก จำนวน 3 บ่อ  ขนาดบ่อละ 43,000 ลบ.ม. สามารถผลิตก๊าซชีวภาพได้ 168,000 ลบ.ม./วัน สามารถนำไปเป็นเพลิงผลิตกระแสไฟฟ้าได้  7.5 เมกกะวัตต์ ทดแทนการใช้น้ำมันเตาในการอบแป้งให้แห้ง ช่วยลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก 514,012 ตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่าต่อปี ลดต้นทุนพลังงานคิดเป็นมูลค่า 81 ล้านบาทต่อปี

โดยน้ำที่ผ่านกระบวนการบำบัดสามารถนำไปใช้ประโยชน์ทางการเกษตร  ป้อนโครงการปลูกหญ้าเนเปียร์ เพื่อเป็นอาหารสัตว์ และพลังงาน บนที่ดินของบริษัทฯ จำนวน 1,200 ไร่ และก่อสร้างท่อส่งน้ำบำบัดเพื่อการเกษตร มีเกษตรกรเข้าเป็นสมาชิก โดยผ่านการขออนุญาตจากกรมโรงงานอุตสาหกรรมแล้ว 463 ครัวเรือน 2 อำเภอคือ ได้แก่ อำเภอนาเยีย และสว่างวีระวงศ์ คิดเป็นพื้นที่ประมาณ 10,000 ไร่ รวมมูลค่าโครงการกว่า 500 ล้านบาท

ด้านนางสาวสุรียส โควสุรัตน์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บมจ. อุบล ไบโอ เอทานอล หรือ UBE ผู้ผลิตและแปรรูปมันสำปะหลังแบบครบวงจรรายใหญ่ของประเทศไทย เปิดเผยว่า UBA ซึ่งเป็นบริษัทในเครือ ได้เข้าซื้อกิจการ บจก.อุบลแสงอาทิตย์ ผู้ผลิตและจำหน่ายไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์ จากบริษัท เบย์วา อาร์.อี. โซล่าร์ พีทีอี แอลทีดี ซึ่งเป็นบริษัทจดทะเบียนในประเทศสิงคโปร์ โดยมีมูลค่าการซื้อขาย จำนวน 82.41 ล้านบาท โดยกลุ่มบริษัท UBE มีเป้าหมายที่จะสร้างพลังงานหมุนเวียนเพื่อใช้เองภายในกลุ่มบริษัททั้งหมดครบ 100% เพื่อลดค่าใช้จ่ายด้านพลังงานและลดการพึ่งพิงพลังงานจากภายนอก รวมถึงเป็นการสร้างความมั่นคงของระบบไฟฟ้าควบคู่ไปกับการดูแลสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืน สอดคล้องกับการดำเนินงานตามกรอบธุรกิจแบบ ESG ที่คำนึงถึงสิ่งแวดล้อม (Environmental) สังคม (Social) และบรรษัทภิบาล (Governance) ในการมุ่งเน้นการใช้ทรัพยากรอย่างมีคุณค่า มีประสิทธิภาพ และรักษาสภาพแวดล้อมทางธรรมชาติที่ได้รับผลกระทบจากการดำเนินธุรกิจของกลุ่มบริษัท

นอกจากนี้ กลุ่มบริษัท UBE ยังประกอบธุรกิจผลิตก๊าซชีวภาพและไฟฟ้า โดยใช้วัตถุดิบซึ่งเป็นผลพลอยได้จากกระบวนการผลิตเอทานอลและแป้งมันสำปะหลัง ถือเป็นอีกหนึ่งแนวทางในการดำเนินธุรกิจที่จะช่วยลดอัตราการใช้พลังงานและส่งเสริมการใช้พลังงานหมุนเวียน โดยปัจจุบัน มีโรงผลิตก๊าซชีวภาพ 3 โรง ได้แก่ โรงผลิตก๊าซชีวภาพระบบ MUR (Methane Upflow Reactor) ดำเนินการโดย UBE โรงผลิตก๊าซชีวภาพระบบ UASB (Upflow Anaerobic Sludge Blanket) ผลิตกระแสไฟฟ้าขนาด 1.9 เมกะวัตต์ และโรงผลิตก๊าซชีวภาพระบบ CLBR (Covered Lagoon Bio-Reactor) ผลิตกระแสไฟฟ้าขนาด 5.6 เมกะวัตต์ ดำเนินการโดย บจ. อุบลซันฟลาวเวอร์ (UBS) ซึ่งสามารถลดค่าใช้จ่ายในกระบวนการผลิต และเพิ่มรายได้ให้กับกลุ่มบริษัทอีกทางหนึ่ง ตลอดจนช่วยยกระดับความมั่นคงในระบบไฟฟ้าของประเทศ และเป็นการดำเนินธุรกิจที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม

“ความสำเร็จในการเข้าซื้อกิจการ บจ.อุบลแสงอาทิตย์ นับเป็นการต่อจิ๊กซอว์อีกชิ้นที่สำคัญในด้านการสร้างความมั่นคงทางพลังงานแบบหมุนเวียนครบวงจรเพิ่มเติมจากหลายโครงการที่กลุ่มบริษัท UBE ได้ดำเนินการมาก่อนหน้านี้ ซึ่งเป็นการนำของเสียจากกระบวนการผลิตมาสร้างเป็นพลังงานหมุนเวียน โดยครั้งนี้เป็นการสร้างสรรค์พลังงานสะอาดจากแสงอาทิตย์ ใช้พื้นที่ภายในให้เกิดประโยชน์สูงสุดคือ สามารถช่วยลดต้นทุนค่าไฟฟ้าที่ใช้ในกระบวนการผลิตได้ประมาณ 9 ล้านบาทต่อปี การเข้าซื้อกิจการดังกล่าว จะเสริมศักยภาพให้กลุ่มบริษัท UBE สามารถผลิตพลังงานไฟฟ้าได้มากกว่า 10 เมกะวัตต์ต่อชั่วโมง จากพลังงานทดแทน ให้เป็นไปตามเป้าหมายจะใช้พลังงานสะอาด 100%” นางสาวสุรียส กล่าวทิ้งท้าย

 



รับข่าวสารก่อนใคร ฉับใวถึงมือคุณ
เพิ่มเราเป็นเพื่อน แอดไลน์ @610nusdc
เพิ่มเพื่อน

Rate this item
(1 Vote)
Last modified on Saturday, 23 July 2022 09:46
วาสนา วัฒนทรงธรรม

Author : เกาะติดข่าวสารวงการพลังงานในทุกมิติ ทั้งไฟฟ้า น้ำมันและก๊าซ พลังงานทดแทน พลังงานสะอาด พลังงานสีเขียว รวมถึงข่าวอื่นๆ ทั้งเรื่องของนวัตการรม การลงทุน หรือมาตรการบรรเทาผลกระทบจากภาครัฐ ฯลฯ

X

ลิขสิทธิ์ของ IM

ห้ามผู้ใดทำซ้ำ คัดลอก ลอกเลียน ดัดแปลง ปลอมแปลง จัดเผยแพร่ เรียกดึงข้อมูล บันทึก ส่งผ่าน หรือกระทำการใดๆ ที่ละเมิดสิทธิและทรัพย์สินทางปัญญาของ IM