โดย : บริษัท เอส.เอส.ที เทคโนโลยี จำกัด (S.S.T. Technology Co.,Ltd.)

ในยุคที่อินเทอร์เน็ตไม่ใช่เรื่องใหม่สำหรับคนไทยทุกคน เพราะยุคนี้คนส่วนใหญ่สามารถเข้าถึงอินเทอร์เน็ตกันได้แทบทุกบ้านแล้ว ซึ่งในปัจจุบันเทคโนโลยีการเชื่อมต่อที่นิยมที่สุดก็คือ 4G ครับ แต่ในอนาคตอันใกล้นี้ เทคโนโลยีการเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตกำลังจะพัฒนาไปอีกขั้นคือ 5G ที่มีความเร็วการเชื่อมต่อสูงขึ้นอย่างก้าวกระโดด
ดังนั้นวันนี้ จะมาเล่าให้ฟังครับว่า 5G เมื่อเริ่มใช้แล้ว จะพัฒนาคุณภาพชีวิตของประชาชนได้อย่างไร เกี่ยวข้องกับเราอย่างไร และเราผู้บริโภคต้องเตรียมตัวอย่างไรบ้าง

ก่อนหน้า 5G เรามีอะไรมาแล้วบ้าง?
– 1G ชื่อนี้คงไม่คุ้นหูกันเท่าไหร่ครับ แต่ถ้าพูดว่าเป็น โทรศัพท์มือถือขนาดใหญ่เทอะทะเหมือนกระติกน้ำ ก็คงพอจะคุ้นหูคุ้นตากันบ้างใช่มั้ยครับ เทคโนโลยีนี้ทำให้เราสามารถสนทนาด้วยเสียงในระยะทางไกลได้นั่นเอง
– 2G ถัดมายุคนี้ นอกจากเราจะสนทนากันด้วยเสียงแล้ว เรายังสามารถส่งข้อความสั้น หรือ SMS ติดต่อสื่อสารกันได้เพิ่มเข้ามา
– 3G ยุคนี้เทคโนโลยีมีพัฒนาขึ้นจนทำให้เราสามารถเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตที่แรงขึ้นได้ สามารถท่องเน็ต ดูเว็บ ดูวีดีโอสตรีมมิ่งพอได้แล้วแต่ยังไม่เร็วเท่าไหร่ และความละเอียดไม่สูงมากนัก
– 4G ยุคนี้ถือเป็นยุคที่คนใช้อินเทอร์เน็ตกันอย่างจริงจัง ทั้งในด้านการทำงาน และการดำรงชีวิตกันมากขึ้น เราติดตามข่าวสารกันบนโลกออนไลน์ ไลฟ์สด ดูหนังฟังเพลงเป็นเรื่องๆ ได้ผ่านสตรีมมิ่ง มีการทำธุรกรรมการเงิน ซื้อของสินค้าผ่านออนไลน์ และอื่นๆ กันอย่างจริงจัง
แต่อย่างไรก็ตาม เทคโนโลยี 4G ที่แม้ตอนนี้บางท่านอาจคิดว่าเพียงพอแล้ว ก็อาจช้าเกินไปสำหรับเทคโนโลยีที่กำลังจะเข้ามาในอนาคต พูดง่ายๆ ว่า 4G ใกล้ถึงทางตันแล้ว จึงเป็นที่มาของเทคโนโลยีใหม่อย่าง 5G นั่นเอง
5G คืออะไร ทำอะไรได้บ้าง?
5G คือเทคโนโลยีการสื่อสารไร้สายในยุคต่อมาจาก 4G ที่มีความเร็วในการรับส่งข้อมูลสูงกว่า 4G ถึง 20 เท่าโดยประมาณ (4G = มีความเร็วสูงสุดที่ประมาณ 1Gbps ส่วน 5G อยู่ที่ประมาณ 20Gbps) รองรับการเชื่อมต่อทุกสรรพสิ่ง หรือ IoT (Internet of Things) นั่นเอง และยังเพิ่มความหนาแน่นต่อพื้นที่ให้มากขึ้นด้วย หรืออยู่ที่ราวๆ 1 ล้านอุปกรณ์ต่อพื้นที่ 1 ตารางกิโลเมตร จากเดิมที่อยู่ที่ 1 แสนอุปกรณ์เท่านั้น
รวมถึงความเร็วในการตอบสนอง (Response Time) ที่จากเดิม 4G มีความเร็วอยู่ที่ 40ms ใน 5G จะเหลือเพียง 1ms เท่านั้น ยกตัวอย่างเช่นการเล่นเกมปัญหาการแล็คจะหายไปอย่างสิ้นเชิง รวมถึงจากเดิมหากเราโหลดหนัง 1 เรื่องใช้ 4G โหลดอาจใช้เวลาประมาณ 6 นาที แต่ถ้าใช้ 5G จะโหลดหนังทั้งเรื่องเพียง 3-4 วินาทีเท่านั้น หรือจะสตรีมดูคลิปวีดีโอออนไลน์ความละเอียดสูงแบบ 4K ได้แบบสบายๆ
รวมไปถึงยังจะช่วยปลดล็อคการใช้งาน VR (Virtual Reality) หรือ AR (Augmented Reality) แบบเคลื่อนที่ได้ ซึ่งสามารถนำไปใช้ได้อย่างหลากหลายในทุกอุตสาหกรรม ยกตัวอย่างเช่น การเลือกซื้อรถออนไลน์ที่ผู้ซื้อสามารถเข้าชมรถได้แบบ realtime แบบ 3 มิติเหมือนได้เช้าไปเลือกซื้อของจริงๆ เป็นต้น คาดการณ์กันว่าภายในปี 2030 เราจะได้เห็นโรงเรียน, มหาวิทยาลัย, ร้านค้า, ธนาคาร, และอื่นๆ อยู่ในโลกออนไลน์กันมากขึ้น เราสามารถเข้าใช้งานได้แม้จะอยู่ที่ไหนบนโลกก็ตาม

5G จะพัฒนาคุณภาพชีวิตของคนในสังคมได้อย่างไร?
นอกจากความเร็วของ 5G ไม่ว่าจะเป็นความเร็วในการรับส่งข้อมูล หรือความเร็วในการตอบสนองที่สูงขึ้นมาก ซึ่งจะไม่ได้มีประโยชน์แค่คนเล่นเกมเท่านั้น แต่ยังเอื้อประโยชน์กับนวัตกรรมในอนาคตอย่าง รถยนต์ไร้คนขับ ที่เมื่อรถยนต์ไร้คนขับสามารถเชื่อมต่อกับอินเทอร์เน็ตความเร็วสูงที่มีความเร็วการตอบสนองค่อนข้างเร็วได้ รถยนต์จะสามารถประมวลผลส่งบางปัญหาที่เกิดขึ้น และบางสถานการณ์ที่ไม่สามารถตัดสินใจเองได้ ต้องส่งข้อมูลกลับไปที่ศูนย์กลาง ก็จะได้ส่งและรับข้อมูลได้ในพริบตา ทันเหตุการณ์ทันที เช่น การเบรคกระทันหัน 5G สามารถทำได้ทันที แต่ถ้าเป็น 4G กว่าจะเบรคอาจรถต้องวิ่งไปอีกหลายเมตรกว่าจะเบรคก็เป็นได้
ทางด้านของการผ่าตัดทางไกล เพื่อช่วยชีวิตคนในพื้นที่ห่างไกล เทคโนโลยี 5G ก็จะเข้ามาช่วยแก้ปัญหาตรงนี้ได้ ทำให้แพทย์สามารถควบคุมเครื่องมือผ่าตัดทางไกลได้ ซึ่งจุดนี้จำเป็นต้องใช้อินเทอร์เน็ตที่รวดเร็ว และตอบสนองได้ดี เพราะการผ่าตัดผิดพลาดเพียงไม่กี่มิลลิเมตรก็อาจทำอันตรายให้กับผู้ป่วยได้

มีอุปกรณ์ 4G อยู่ ถ้าเปิดใช้ 5G แล้ว จะยังสามารถนำเครื่องเก่ามาใช้ได้ไหม?
คำตอบสั้นๆ คือ “ไม่ได้ครับ” เพราะเทคโนโลยี 5G นั้นใช้อุปกรณ์ รวมถึงความถี่ที่แตกต่างจาก 4G ทำให้ไม่สามารถนำเครื่องมือถือเก่า 4G มาใช้ 5G ได้ ต้องซื้อใหม่เท่านั้น (หรืออาจต้องซื้ออุปกรณ์เสริมเพิ่มเติม อย่างเช่นสมาร์ทโฟนของ Motorola ที่มี Mods อุปกรณ์เสริม 5G มาเพิ่มได้เป็นต้น)

อีกนานไหมถึงจะได้ใช้ 5G ในประเทศไทย
ในต่างประเทศ เทคโนโลยี 5G ถือว่าเริ่มใช้กันเป็นมาตราฐานแล้ว เช่นใน เกาหลีใต้ ญี่ปุ่น จีน หรือหลายประเทศทางฝั่งยุโรป และอื่นๆ แต่สำหรับในประเทศไทยคาดว่าจะได้ใช้ 5G กันอีกไม่นานเกินรอ ซึ่งน่าจะเริ่มได้ประมาณปี 2019 ปีหน้าที่จะถึงนี้ เพราะมีข่าวว่าทาง กสทช. อาจจัดให้มีการประมูลคลื่น 5G กันในช่วงประมาณไตรมาสแรกของปี 2019 และผู้ให้บริการก็อาจต้องอัพเกรดอุปกรณ์ส่งสัญญานซึ่งอาจใช้เวลาอีกไม่ถึงปีก็น่าจะเสร็จเรียบร้อย แต่อย่างไรก็ตาอย่างที่กล่าวไปในหัวข้อที่แล้ว ผู้ใช้เองก็ต้องเปลี่ยนอุปกรณ์ใหม่ให้รองรับ 5G ด้วย ไม่เช่นนั้นก็ใช้ไม่ได้อยู่ดี
สรุปคือสำหรับคนไทย แม้ว่าเทคโนโลยี 5G อาจถูกทดสอบ และเริ่มใช้กันในปี 2019 แต่ถ้ารอให้เทคโนโลยีเริ่มนิ่ง และมีอุปกรณ์ 5G เข้ามาขายแบบ commercial ก็น่าจะอยู่ในช่วงราวๆ ปี 2020 ตามแผนเดิมที่วางแผนไว้ครับ เราก็น่าจะได้เห็นรถยนต์ไร้คนขับ การผ่าตัดรักษาคนแบบข้ามโลก หรือยุคที่ของทุกสิ่งอย่างเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตแบบ IoT ควบคุมด้วยสมาร์ทโฟนได้ทุกอย่าง ก็น่าจะเป็นในช่วงเวลาดังกล่าวครับ
