IM สื่ออุตสาหกรรม เป็นสื่อสร้างสรรค์เพื่อส่งเสริมอุตสาหกรรม มุ่งเน้นนำเสนอข่าวสารด้านบวก ครอบคลุมทุกหมวดหมู่ธุรกิจ ด้วยเจตนารมณ์ที่ต้องการสร้างพื้นที่ให้กลุ่ม SMEs ได้มีที่ยืน ได้มีโอกาสได้ใช้ช่องทางเคียงคู่ไปกับผู้ประกอบการรายใหญ่ เพื่อให้อุตสาหกรรมไทยได้เติบโตไปพร้อมๆ กัน อย่างยั่งยืน
บริษัท สื่ออุตสาหกรรม จำกัด | 02 11 585 22 | an6n@yahoo.com
ส่วนอัตราเงินเฟ้อปีนี้ ค่าดว่าจะอยู่ที่ 1.2% สำหรับค่าเงินบาทคาดว่าเฉลี่ยอยู่ที่ 31.50-33.50 บาท/ดอลลาร์
ส่วนปี 62 คาดว่า GDP จะโต 4.5% พร้อมมองว่าหากมีเลือกตั้งปี 62 จะช่วยหนุนเศรษฐกิจไทยฟื้นดีขึ้นน่าจะส่งผลให้คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) มีโอกาสปรับขึ้นดอกเบี้ย 2 ครั้งปีหน้า
นายธนวรรธน์ พลวิชัย ผู้อำนวยการศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย เปิดเผยว่า มหาวิทยาลัยหอการค้าไทยได้ปรับประมาณการอัตราการขยายตัวของเศรษฐกิจไทย (GDP) ในปี 61 เพิ่มขึ้นมาที่ 4.0-4.5% หรือมีค่าเฉลี่ยที่ 4.6% เนื่องจากมองว่าในช่วงที่เหลือของปีนี้ยังมีปัจจัยบวกที่ส่งผลดีต่อภาวะเศรษฐกิจไทย เช่น เศรษฐกิจโลกยังเติบโตอย่างต่อเนื่อง, การส่งออกยังขยายตัวได้ดีตามแนวโน้มเศรษฐกิจโลก, ภาคการท่องเที่ยวยังมีส่วนสำคัญอย่างมากในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทย, การใช้จ่ายและการลงทุนของภาครัฐมีโอกาสเร่งตัวขึ้นในช่วงครึ่งปีหลัง, การลงทุนของภาคเอกชนเริ่มเห็นการฟื้นตัวที่ชัดเจนขึ้น และรายได้ภาคเกษตรเริ่มปรับตัวดีขึ้น
พร้อมทั้งปรับเพิ่มคาดการณ์การส่งออกไทยในปีนี้ว่าจะเติบโตได้ 8.7% ที่มูลค่าราว 2.57 แสนล้านดอลลาร์ จากเดิมที่เคยคาดการณ์ไว้เมื่อเดือน ก.พ.ที่ 6.0% มูลค่าราว 2.5 แสนล้านดอลลาร์ และการนำเข้าคาดว่าจะเติบโตได้เพิ่มขึ้นเป็น 12.6% ที่มูลค่า 2.49 แสนล้านดอลลาร์ จากเดิมที่คาดไว้ 6.4% ที่มูลค่าราว 2.35 แสนล้านดอลลาร์ ส่วนดุลบัญชีเดินสะพัดในปีนี้ คาดว่าจะเกินดุลราว 34.6 พันล้านดอลลาร์ คิดเป็น 7.2% ของจีดีพี
การส่งออกในปีนี้ ได้รับผลกระทบจากกรณีของสงครามการค้า ที่ทำให้มูลค่าการส่งออกของไทยลดลงไปราว 3,000 ล้านดอลลาร์ หรือคิดเป็นผลกระทบต่อการส่งออกให้ลดลงไป 1.2% ซึ่งในส่วนนี้มีผลต่อ GDP 0.4%
ด้านจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติในปีนี้ คาดว่าจะมีประมาณ 38.8 ล้านคน หรือเติบโต 9.6% จากปีก่อน โดยมองว่าหากไม่มีเหตุการณ์เรือล่มที่ จ.ภูเก็ต จนส่งผลให้มีนักท่องเที่ยวจีนเสียชีวิตเป็นจำนวนมากนั้น น่าจะทำให้จำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติในปีนี้อยู่ที่ราว 39.5 ล้านคน หรือเติบโต 11.6% แต่อย่างไรก็ดี มองว่าผลกระทบดังกล่าวจะเป็นเพียงปัจจัยลบชั่วคราวเท่านั้น และการท่องเที่ยวไทยน่าจะกลับมาฟื้นตัวได้ในช่วงไตรมาส 4 ซึ่งถือเป็นช่วง high season
ขณะที่คาดว่าอัตราเงินเฟ้อทั่วไป ขยายตัวได้ 1.2% ถือว่ายังอยู่ในระดับที่ไม่สูงและยังไม่เป็นแรงกดดันให้ต้องมีการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายภายในปีนี้ โดยคาดว่าในปีนี้อัตราดอกเบี้ยนโยบาย ณ สิ้นปี 61 ยังคงอยู่ที่ระดับ 1.50% ส่วนอัตราแลกเปลี่ยนคาดว่าค่าเงินบาทเฉลี่ยทั้งปีจะอยู่ที่ 32.50 บาท/ดอลลาร์ หรือในกรอบ 31.50-33.50 บาท/ดอลลาร์
นายธนวรรธน์ มองว่า แนวโน้มอัตราดอกเบี้ยขาขึ้นจะเริ่มเห็นได้ในช่วงกลางปี 62 ซึ่งหากมีการเลือกตั้งเกิดขึ้นจริงตามกรอบเวลาที่รัฐบาลกำหนดไว้คือช่วงเดือน ก.พ.62 ก็จะส่งผลให้มีเม็ดเงินเข้ามากระตุ้นในระบบเศรษฐกิจได้ไม่ต่ำกว่า 3-4 หมื่นล้านบาท ทำให้เศรษฐกิจฟื้นตัวได้เพิ่มขึ้น และน่าจะเป็นโอกาสที่ทำให้ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ตัดสินใจปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบาย 2 ครั้งในปีหน้า คือ ช่วงไตรมาส 2 และไตรมาส 4 โดยเป็นการทยอยปรับขึ้นครั้งละ 0.25%
"หากปีหน้ามีเลือกตั้ง ความเชื่อมั่นต่อเศรษฐกิจไทยก็จะดีขึ้น และมีเม็ดเงินจากกิจกรรมการเลือกตั้งลงสู่ระบบราว 3-4 หมื่นล้านบาท ซึ่งช่วยกระตุ้นให้เศรษฐกิจฟื้นตัวได้เพิ่มขึ้น เราก็คาดว่ามีโอกาสที่แบงก์ชาติจะปรับขึ้นดอกเบี้ยในไตรมาส 2 อีก 0.25% และปรับขึ้นอีก 0.25% ในไตรมาส 4 ซึ่งทยอยปรับให้ความต่างของอัตราดอกเบี้ยของสหรัฐและไทยแคบลง โดยสิ้นปี 62 ดอกเบี้ยนโยบายของไทยอาจจะแตะที่ระดับ 2% และอาจจะปรับขึ้นอีกครั้งในปี 63" นายธนวรรธน์ระบุ
อย่างไรก็ดี ในปีนี้เศรษฐกิจไทยยังมีปัจจัยเสี่ยงที่ต้องติดตาม ได้แก่ สงครามการค้าระหว่างสหรัฐและจีน ที่ทวีความรุนแรงเพิ่มขึ้นและมีแนวโน้มที่จะยืดเยื้อ, อัตราดอกเบี้ยในตลาดโลกมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง, ความเสี่ยงจากวิกฤติค่าเงินในตลาดเกิดใหม่ ทำให้ค่าเงินอ่อนค่าลงอย่างรวดเร็ว, ความเสี่ยงจากเหตุอุทกภัยที่มีผลกระทบต่อภาคเศรษฐกิจจริง และความเสี่ยงด้านภูมิรัฐศาสตร์ในตะวันออกกลาง ที่ทำให้ราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกมีความผันผวน
มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย ยังประเมินด้วยว่าเศรษฐกิจไทยจะสามารถเติบโตได้อย่างเต็มศักยภาพในปี 65 โดยคาดว่า GDP จะเติบโตแตะระดับ 5% ทั้งนี้ ประเมินว่าปี 62 GDP จะเติบโตได้ 4.5% ส่วนปี 63 เติบโตได้ 4.8% และปี 64 เติบโตได้ 4.6%