Print this page

TU เพิ่มลงทุน 6 พันล้าน พร้อมนำ TFM ขาย IPO 109.3 ล้านหุ้น

TU วางเป้าหมายปี 2564-2565 โตเพิ่มอีก 3-5% เตรียมลงทุนกว่า 6,000 ล้านบาท รองรับการขยายธุรกิจผลิตและจำหน่ายอาหารสัตว์น้ำในประเทศอินโดนีเซียและปากีสถาน พร้อมนำ TFM เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ขาย IPO 109.3 ล้านหุ้นสวนกระแสโควิด เร่งขยายธุรกิจลุยตลาดต่างประเทศ สู่ผู้นำด้าน Seafood Expert

นายธีรพงศ์ จันศิริ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ไทยยูเนียน กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ TU เปิดเผยว่า บริษัทฯได้วางเป้าหมายการดำเนินธุรกิจในปี 2564-2565 นี้ตั้งเป้าโตเพิ่ม 3-5% โดยวางงบการลงทุนไว้ประมาณ 6,000 ล้านบาท รวมถึงมีแผนนำหุ้นของ บริษัท ไทยยูเนี่ยน ฟีดมิลล์ จำกัด (มหาชน) หรือ TFM ยื่นแบบแสดงรายการข้อมูลและร่างหนังสือชี้ชวน (ไฟลิ่ง) ต่อสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) เพื่อเสนอขายหุ้นสามัญต่อประชาชนทั่วไปครั้งแรก (IPO) จำนวน 109,300,000 หุ้น แบ่งเป็นหุ้นสามัญเพิ่มทุน 90,000,000 หุ้น และหุ้นสามัญเดิมที่เสนอขายโดย บมจ.ไทยยูเนี่ยน กรุ๊ป (TU) 19,300,000 หุ้น รวมทั้งหมดคิดเป็นสัดส่วนไม่เกิน 21.86% ของจำนวนหุ้นสามัญที่ออกและชำระแล้วทั้งหมดภายหลังการเสนอขายหุ้น IPO ครั้งนี้ และจะเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ (SET) โดยมี บล.บัวหลวง เป็นที่ปรึกษาทางการเงิน

โดยผลการดำเนินงานในปีที่ผ่านมาบริษัทมีฯกำไรสุทธิ 6,246.09 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 63.7% จากปีก่อน และมียอดขายรวมปรับเพิ่มขึ้น 4.9% จากความต้องการผลิตภัณฑ์อาหารทะเลแปรรูปและสินค้าอาหารสำหรับสัตว์เลี้ยงที่เพิ่มขึ้นทั้งในและต่างประเทศ

นอกจากนี้ในปีที่ผ่านมาบริษัทฯยังได้ลงทุนในธุรกิจอินกรีเดียนท์ ธุรกิจนวัตกรรมและเทคโนโลยีอาหาร รวมถึงเปิดตัวผลิตภัณฑ์ UniQTMBONE ผงแคลเซียมบดละเอียดจากกระดูกปลาทูน่า ไร้กลิ่นและรส ทำให้สามารถนำไปใช้ได้ในหลากหลายผลิตภัณฑ์ โดยเปิดไลน์ผลิตเครื่องจักรการผลิตใหม่ในโรงงงานสงขลาแคนนิ่ง จ.สงขลา อีกด้วย

ทั้งนี้ TU บริษัทเป็นผู้ผลิตและจำหน่ายอาหารสัตว์เศรษฐกิจ โดยมีผลิตภัณฑ์หลักซึ่งได้แก่ อาหารกุ้ง อาหารปลา และอาหารสัตว์บก มีวัตถุประสงค์การระดมทุนครั้งนี้เพื่อการขยายธุรกิจผลิตและจำหน่ายอาหารสัตว์น้ำในประเทศอินโดนีเซียและปากีสถาน ชำระคืนเงินกู้ยืม และใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนมีทุนจดทะเบียนจำนวน 1,000,000,000 บาท โดยเป็นทุนชำระแล้วทั้งสิ้นจำนวน 820,000,000 บาท แบ่งออกเป็นหุ้นสามัญจำนวน 410,000,000 หุ้น มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 2.00 บาท ภายหลังการเสนอขายหุ้น IPO บริษัทจะมีทุนจดทะเบียนชำระแล้วเต็มจำนวน แบ่งเป็นหุ้นสามัญจำนวนไม่เกิน 500,000,000 หุ้น

โครงสร้างการถือหุ้นของบริษัทฯ ณ วันที่ 31 พฤษภาคม 2564 มี TU ถือหุ้น 274,300,075 หุ้น คิดเป็น 66.9% ภายหลังเสนอขายหุ้น IPO แล้วจะลดการถือหุ้นลงเหลือ 255,000,075 หุ้น หรือคิดเป็น 51.0% กลุ่มนายฤทธิรงค์ บุญมีโชติ ถือหุ้น 63,437,300 หุ้น คิดเป็น 15.5% หลังการเสนอขายหุ้น IPO จะลดสัดส่วนลงเหลือ 12.7%

บริษัทมีความเชี่ยวชาญประสบการณ์กว่า 20 ปี ปัจจุบันมีโรงงานผลิตสินค้า 2 แห่ง คือ โรงงานมหาชัย ตั้งอยู่ที่อำเภอเมือง จังหวัดสมุทรสาคร ซึ่งเป็นที่ตั้งสำนักงานใหญ่ และ โรงงานระโนด ในจังหวัดสงขลา กำลังการผลิตอาหารสัตว์รวมเท่ากับ 288,000 ตันต่อปี แบ่งเป็น อาหารกุ้ง 168,000 ตันต่อปี อาหารปลา 90,000 ตันต่อปี และ อาหารสัตว์บก 30,000 ตันต่อปี อัตราการใช้กำลังการผลิต (Utilization Rate) อยู่ในระดับประมาณ 58-80%

นอกจากนี้ บริษัทฯ ยังมีแผนขยายธุรกิจผลิตและจำหน่ายอาหารสัตว์น้ำในประเทศอินโดนีเซีย โดยเข้าทำความร่วมมือทางการค้ากับพันธมิตรทางธุรกิจ (Strategic Partner) 2 กลุ่ม คือ กลุ่ม PT MSK ซึ่งเป็นผู้ประกอบธุรกิจแปรรูปอาหารแช่แข็งรายใหญ่ และกลุ่ม AVANTI ซึ่งเป็นผู้ผลิตและจำหน่ายอาหารสัตว์น้ำ เพื่อลงทุนและจัดตั้ง TUKL ประกอบธุรกิจผลิตและจำหน่ายอาหารสัตว์น้ำในประเทศอินโดนีเซียดังกล่าว โดยบริษัทฯ PT MSK และกลุ่ม AVANTI (ถือหุ้นผ่าน AVANTI และ Srinivasa) มีสัดส่วนการถือหุ้นใน TUKL เท่ากับ 65%, 25% และ 10% ของทุนจดทะเบียนชำระแล้วของ TUKL ตามลำดับ ส่งผลให้ TUKL ถือเป็นบริษัทย่อยของบริษัทฯ

ในช่วงแรก TUKL จะมุ่งเน้นในการผลิตและจำหน่ายอาหารกุ้งเป็นหลัก คาดว่าจะต้องใช้เงินลงทุนในช่วงแรก กำลังการผลิตประมาณ 36,000 ตัน รวมประมาณ 275,333 ล้านรูเปีย หรือประมาณ 596.9 ล้านบาท ปัจจุบัน TUKL ได้มีการจัดซื้อที่ดินตั้งโรงงานแล้วและอยู่ระหว่างก่อสร้าง คาดว่าจะสามารถติดตั้งเครื่องจักรและเริ่มดำเนินการทดสอบระบบ (Test Run) ได้ภายในเดือน ต.ค.64 และสามารถเริ่มการผลิตและจำหน่ายอาหารกุ้งได้ภายในปี 64 โดยในระหว่างการก่อสร้างและติดตั้งเครื่องจักร TUKL บริษัทฯ ได้มีการทดลองตลาดโดยการนำเข้าอาหารกุ้งที่ผลิตโดยโรงงานของบริษัทฯ ในประเทศไทยเพื่อไปทดสอบผลการเลี้ยงกุ้งในประเทศอินโดนีเซียเป็นการล่วงหน้าตั้งแต่ในเดือน มี.ค. 64

พร้อมกันนั้น จะขยายธุรกิจผลิตและจำหน่ายอาหารสัตว์น้ำในประเทศปากีสถาน โดยได้เข้าทำความร่วมมือทางการค้ากับ Strategic Partner คือ กลุ่ม AMG ซึ่งเป็นผู้ประกอบธุรกิจอาหารสัตว์น้ำในประเทศปากีสถาน เพื่อลงทุนและจัดตั้ง AMG-TFM สัดส่วนการถือหุ้นเท่ากับ 51% และ 49% ช่วงแรกจะมุ่งเน้นในการผลิตและจำหน่ายอาหารปลาเป็นหลัก คาดว่า AMG-TFM จะต้องใช้เงินลงทุนในช่วงแรกสำหรับผลิตและจำหน่ายอาหารปลา กำลังการผลิตประมาณ 7,000 ตัน รวมประมาณ 340.0 ล้านรูปีปากีสถาน หรือประมาณ 69.6 ล้านบาท เป็นส่วนเงินลงทุนของบริษัทประมาณ 35.5 ล้านบาท โดยหลักจะเป็นเงินลงทุนในเครื่องจักรและอุปกรณ์และเป็นเงินทุนหมุนเวียน เนื่องจาก AMG-TFM มีแผนในการเช่าที่ดินและโรงงานจากบุคคลภายนอก

สำหรับผลการดำเนินงานในช่วง 3 ปีย้อนหลัง (ปี 61-63) และงวดสิ้นสุดวันที่ 31 มี.ค.64 มีรายได้รวมเติบโตขึ้นเป็น 4,492.7 ล้านบาทในปี 61 และ 4,906.8 ล้านบาทในปี 62 อย่างไรก็ดีในปี 63 เนื่องด้วยสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อโควิด-19 ส่งผลทำให้บริษัทมีรายได้รวม 4,244.5 ล้านบาทลดลงจากปีก่อนหน้า และงวดสิ้นสุดวันที่ 31 มี.ค.64 มีรายได้รวมอยู่ที่ 970.5 ล้านบาท ลดลงเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน

ขณะที่มีกำไรเบ็ดเสร็จรวม เท่ากับ 402.5 ล้านบาท 835.4 ล้านบาท และ 399.7 ล้านบาท ตามลำดับ และในงวดสามเดือนสิ้นสุดวันที่ 31 มี.ค. 64 บริษัทมีกำไรเบ็ดเสร็จรวม 60.0 ล้านบาท ทั้งนี้ บริษัทมีนโยบายจ่ายเงินปันผลให้แก่ผู้ถือหุ้นอย่างน้อยปีละ 2 ครั้ง รวมกันเป็นจำนวนไม่น้อยกว่าอัตราร้อยละ 50.0 ของกำไรสุทธิตามงบการเงินรวม หลังหักทุนสำรองต่าง ๆ ทุกประเภทตามข้อบังคับของบริษัทย่อย และตามกฎหมายแล้ว

ยอดรวมในปีที่ผ่านมาไทยยูเนี่ยนได้บริจาคผลิตภัณฑ์อาหารมากกว่า 3 ล้านชุดในประเทศต่างๆ ทั่วโลก เพื่อดูแลชุมชนและพื้นที่ที่บริษัทฯดำเนินธุรกิจอยู่ โดยเฉพาะผู้ที่ได้รับผลกระทบจากโควิด-19

นายธีรพงศ์ กล่าวต่อว่า ที่ผ่านมา TU มีผลประกอบการที่เข้มแข็ง แม้ว่าบริษัทฯจะเผชิญกับสถานการณ์โควิด-19 เนื่องจากได้พัฒนาสินค้าให้ตรงตามความต้องการของผู้บริโภคยุค New Normal ที่เน้นประกอบอาหารรับประทานเองที่บ้านและเน้นการใส่ใจเรื่องสุขภาพเน้นประโยชน์จากอาหารมากขึ้น ทางบริษัทฯตระหนักดีถึงจุดนี้ จึงได้พัฒนาผลิตภัณฑ์อย่างต่อเนื่อง รวมถึงให้ความสำคัญกับสุขภาพและความปลอดภัยของพนักงาน คู่ค้า และซัพพลายเซนทั้งหมด เพื่อผลิตสินค้าคุณภาพ ปลอดภัย่กอนถึงมือผู้บริโภค รวมถึงให้ความสำคัญกับสิ่งแวดล้อม ด้วยกลยุทธ์ด้านความยั่งยืนของบริษัทฯ หรือ SeaChange@ ในการทำหน้าที่สร้างมาตรฐานให้กับอุตสาหกรรมอาหารทะเลอีกด้วย

นอกจากนี้ในปีที่ผ่านมา TU ยังได้ลงทุนในธุรกิจอินกรีเดียนท์ ธุรกิจนวัตกรรมและเทคโนโลยีอาหาร รวมถึงเปิดตัวผลิตภัณฑ์ยูนิโบน (UniQTMBONE) โดยเปิดไลน์ผลิตเครื่องจักรการผลิตใหม่ในโรงงานผลิตสงขลาแคนนิ่ง จังหวัดสงขลา รวมถึงได้สนับสนุนโครงการสเปซ-เอฟอย่างต่อเนื่องเป็นปีที่ 2 โดยเป็นโครงการบ่มเพาะและเร่งการเติบโตทางธุรกิจเทคโนโลยีอาหารระดับโลกที่ทางบริษัทได้ร่วมก่อตั้งขึ้นในปี 2562 เพื่อสร้างระบบนิเวศของสตาร์ทอัพและนวัตกรรมให้เกิดขึ้น และนำไปสู่การดูแลสุขภาพและคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น รวมถึงได้ลงทุนในสตาร์ทอัพ 6 บริษัทด้วยกัน ทั้งนี้ ได้จัดตั้งบริษัทร่วมทุนอีก 2 แห่งที่เน้นธุรกิจใหม่ๆ ในการนำนวัตกรรมเข้ามาเป็นหลักในการทำธุรกิจเพื่อตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคในปัจจุบัน

“ในปีที่ผ่านมานับเป็นปีแห่งความท้าท้ายที่พวกเราต้องเผชิญในทุกด้าน แต่ด้วยการบริหารจัดการที่เข้มแข็งของทียูและความทุ่มเทของพนักงานทุกคน ทำให้เราสามารถดำเนินธุรกิจมาได้เป็นอย่างดี นอกจากนี้ในปีที่ผ่านมาเรายังสามารถเจรจาเพื่อตกลงระงับข้อพิพาทเพื่อยุติคดีผูกขาดทางการค้าในสหรัฐอเมริกาทั้งหมดได้ ส่งผลให้ผลประกอบการในปีที่ผ่านมาเติบโตอย่างต่อเนื่อง และเรามั่นใจว่าจะยังคงผลิตสินค้าเพื่อตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคทั่วโลกได้ รวมถึงเป็นที่ยอมรับจากผู้บริโภคทั้งในด้านสุขภาพและโภชนาการได้เป็นอย่างดี” นายธีรพงศ์ กล่าวทิ้งท้าย



รับข่าวสารก่อนใคร ฉับใวถึงมือคุณ
เพิ่มเราเป็นเพื่อน แอดไลน์ @610nusdc
เพิ่มเพื่อน

Rate this item
(1 Vote)
Last modified on Wednesday, 25 May 2022 12:42
ชนารดี ชัยศิริเมฆินทร์

Author : เกาะติดข่าวเกษตร วิถีของเกษตรพอเพียงแนวทางสู่ความยั่งยืน เกษตรผสมผสาน ทฤษฎีแห่งการใช้น้ำ การเลี้ยงสัตว์ การเพาะพันธ์ ชุมชนท่องเที่ยว OTOP นวัตวิถี เครื่องมือเครื่องจักรเกษตร ฯลฯ

Latest from ชนารดี ชัยศิริเมฆินทร์

Related items

X

ลิขสิทธิ์ของ IM

ห้ามผู้ใดทำซ้ำ คัดลอก ลอกเลียน ดัดแปลง ปลอมแปลง จัดเผยแพร่ เรียกดึงข้อมูล บันทึก ส่งผ่าน หรือกระทำการใดๆ ที่ละเมิดสิทธิและทรัพย์สินทางปัญญาของ IM